Category Archives: Lifestyle

KTBGS สานต่อนโยบายคุณธรรมนำความยั่งยืนความเชื่อมโยงระหว่าง วัด บ้าน และโรงเรียน

นโยบาย “KTBGS คุณธรรมนำความยั่งยืน” กรุงไทยธุรกิจบริการ (KTBGS) สานต่อนโยบายคุณธรรมนำความยั่งยืน

เมื่อไม่นานมานี้ Toptotravel มีโอกาสไปร่วมงาน กิจกรรม ซีเอสอาร์ ที่ดำเนินมาตลอดระยะเวลา 21 ปี โครงการ บริษัท รักษาความปลอดภัย กรุงไทยธุรกิจบริการ จำกัด หรือ KTBGS เป็นบริษัทในกลุ่มของ บมจ.ธนาคารกรุงไทย (KTB) บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับ กิจกรรม ซีเอสอาร์ บริษัทฯ ได้ดำเนิน  นโยบายภายใต้ Corporate theme ที่มีความน่าสนใจมากในเรื่องของความ “ห่วงใยใส่ใจคุณ” ซึ่งคำว่า “คุณ” ในที่นี้หมายถึง ลูกค้า/พนักงาน / ผู้ถือหุ้น และตลอดจนสังคม พร้อมยึดหลักธรรมาธิบาลในการบริหารองค์กร ซึ่งมุ่งหวังให้องค์กรเปรียบเสมือนบ้านหลังที่ 2 ของพนักงานทุกคน ทำให้เกิดพลังในการขับเคลื่อนกิจกรรมอย่างเห็นได้ชัด

บริษัท ได้ใช้แนวทางการดำเนินตามโครงการพระราชดำริของ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีเป็นที่ตั้ง KTBGS จึงได้เริ่มโครงการกฐินพระราชทาน CSR ขึ้นเป็นครั้งแรกในปี 2558 ให้กับโรงเรียนพระปริยัติธรรมฯ ป่าแขมวิทยา จ.พะเยา ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง ที่สามารถช่วยพัฒนา ศาสนา สังคม และการศึกษาได้อย่างยั่งยืน

สำหรับในปีนี้ภายใต้นโยบายของบริษัทคือ “คุณธรรมนำความยั่งยืน” ยังได้สานต่อกิจกรรมเพื่อสังคมอย่างต่อเนื่องมุ่งเน้นมิติด้านการศึกษา ศาสนา และสังคม โดยเราเชื่อว่าทั้ง 3 มิติ มีความเชื่อมโยง ต่อกัน และเป็นรากฐานสำคัญของความยั่งยืนให้กับองค์กร สังคมและประเทศชาติ บริษัทจึงได้สานต่อกิจกรรมนี้ขึ้นอีกครั้ง

โดยมีพื้นที่เป้าหมายอยู่ที่จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นการร่วมมือกันระหว่าง บริษัท และ พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี ในชื่อโครงการ “KTBGS Empower Social Sustainability” ภายใต้แนวคิด “บวร” เน้นความเชื่อมโยงระหว่าง วัด บ้าน และโรงเรียน

ทั้งนี้จุดเริ่มต้นของโครงการ คือ นโยบายของบริษัท ที่ต้องการมุ่งเน้นมิติด้านการศึกษา ศาสนา และสังคม ให้มีความต่อเนื่องกัน อีกทั้งเล็งเห็นว่า พื้นฐานสำคัญที่จะทำให้คนในชุมชน มีรากฐานที่แข็งแรงและเป็นกำลังให้กับชุมชนได้ ก็จะต้องมาจาก วัดซึ่งเป็นศูนย์รวมด้านศาสนา ส่งต่อไปถึงโรงเรียนเพื่อผลิตบุคลากรที่มีคุณภาพให้กับชุมชน ซึ่งมีความเกี่ยวเนื่องกันเป็นระบบลูกโซ่หมุนเวียน โดยกิจกรรมในครั้งนี้จะเป็นการมอบรถตู้ของทางบริษัท ที่ปลดระวางการใช้งาน แต่ยังสามารถใช้งานได้มามอบให้กับทางวัด เพื่อที่จะสามารถนำไปใช้งานต่อได้ ไม่ว่าจะเป็นการรับส่งพระสงฆ์ สามเณร ตลอดจนคนในชุมชน หรือเป็นประโยชน์ในการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการขนส่ง เพื่อที่ชุมชนจะสามารถพึ่งพาตัวเองได้ต่อไป โดยที่ผ่านมาบริษัทได้ดำเนินกิจกรรมหลัก ๆ แบ่งออกเป็น

กิจกรรม CSR ภายนอกองค์กร
•การดำเนินตามโครงการพระราชดำริของ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีด้วยการสนับสนุนการสร้างอาคารเรียนให้กับสามเณร โรงเรียนพระปริยัติธรรมฯ ป่าแขมวิทยา จ.พะเยา ซึ่งเป็นโรงเรียนศูนย์กลางสำหรับสามเณรในเขตพื้นที่รอยต่อระหว่าง จ.พะเยา และ จ.น่าน ตั้งแต่ปี 2558 และต่อมาในปี 2559 บริษัทได้สนับสนุนอุปกรณ์การศึกษาเครื่องคอมพิวเตอร์ห้องวิทยาศาสตร์ และอุปกรณ์ศิลปะตลอดจนทุนการศึกษาให้กับสามเณร เนื่องจากสามเณรส่วนใหญ่เป็นชาวไทยภูเขาและมีฐานะทางบ้านค่อนข้างยากจน ในปี 2560 บริษัทได้จัดกิจกรรมผ้าป่าสามัคคีเพื่อการศึกษาโดยระดมทุนเพื่อใช้ในการบำรุงรักษาอุปกรณ์การเรียนตลอดจนทุนการศึกษาให้สามเณรอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งมอบรถตู้เพื่อใช้ในการรับส่งสามเณรและรถกระบะเพื่อใช้ในการกู้ชีพและกู้ภัยให้กับชุมชนในวัดศรีเมืองมาง จ.พะเยา

•ร่วมพิธีสมโภชองค์กฐินและพิธีถวายผ้ากฐิน ณ วัดครึ่งใต้ จ.เชียงราย เพื่อนำรายได้สร้าง “ห้องพักผู้ปฏิบัติวิปัสนากรรมฐาน” ศูนย์วิปัสสนาสากลไร่เชิญตะวัน อ.เมือง จ.เชียงราย (ก่อตั้งโดย พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี) ในปี
2559

•ลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือช่วยเหลือคนพิการให้มีอาชีพด้วยการจ้างคนพิการ ณ สมาคมผู้ปกครองคนพิการทางสติปัญญาแห่งประเทศไทย จำนวน 81 คน ตั้งแต่ปี 2559 จนถึงปัจจุบัน โดยให้ผู้พิการมีงานทำและเห็นคุณค่าในตัวเอง โดยการทำกิจกรรมสาธารณะประโยชน์ให้แก่บริษัท

•จัดโครงการร่วมกับสมาคมผู้ปกครองคนพิการทางสติปัญญาแห่งประเทศไทย สนับสนุนและส่งเสริมให้กลุ่มคนพิการได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ ร่วมกิจกรรมประกวดวาดภาพระบายสี ชิงเงินรางวัล 70,000 บาท ในปี 2559

•สนับสนุนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ให้กับโรงเรียนปากพลีวิทยาคาร จ. นครนายก ซึ่งอยู่ในโครงการกรุงไทยสานฝันโรงเรียนดีใกล้บ้าน ในปี 2560 และมอบรถตู้เพื่อใช้ในการรับส่งนักเรียนในปี 2561

กิจกรรม CSR ภายในองค์กร•มอบทุนการศึกษาแก่บุตรของพนักงานที่มีผลการเรียนดีแต่ขาดแคลนทุนทรัพย์เป็นจำนวนกว่า 689 ทุนต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2556 จนถึงปัจจุบัน

•การจัดกิจกรรม Kids Camp เพื่อเปิดโอกาสให้กับกลุ่มบุตรหลานบุคลากรทุกระดับได้มีโอกาสเรียนรู้ตนเองด้วยการส่งเสริมการสร้างทักษะทางสังคม และการทำกิจกรรมการส่งต่อความดี เพื่อเป็นการปลูกฝังความกล้าหาญ การแสดงออกและวิธีคิดของการอยู่ร่วมกันในสังคมโดยยึดหลักความซื่อสัตย์และมีน้ำใจ

•โครงการเตรียมความพร้อมให้กับกลุ่มพนักงานเตรียมเกษียณที่มีอายุ 55 ปีขึ้นไป ทั้งนี้เพื่อเตรียมความพร้อมให้เกษียณอย่างมีความสุข ที่ผ่านมา ได้ทำกิจกรรมเรียนรู้ด้านการเงิน ด้านสุขภาพ ฝึกสอนอาชีพทางเลือกเมื่อถึงวัยเกษียณ รวมทั้งศึกษาดูงานที่ศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง บ้านสารภี จ.สมุทรสงคราม ซึ่งผู้ก่อตั้ง ได้แนวคิดจากการน้อมนำแนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มาปรับใช้ในการดำรงชีวิต

•โครงการ Happy Money ให้ความรู้แก่พนักงานในเรื่องของการเงินส่วนบุคคล รวมทั้งให้ความรู้ด้านการลงทุนและสร้างรายได้เพิ่ม หากเป็นหนี้บริษัทก็มีพี่เลี้ยงทางการเงินที่คอยให้คำแนะนำวิธีลดภาระหนี้สิน

ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้รับรางวัล “สถานประกอบกิจการดีเด่น” 12 ปีซ้อน ติดต่อกัน (ปี 2550 – ปี 2561) ในด้านแรงงานสัมพันธ์และสวัสดิการแรงงาน สำหรับองค์กรขนาดใหญ่ที่มีสหภาพแรงงาน โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน แสดงถึงความมุ่งมั่น ที่จะสร้างสรรค์ ประโยชน์สุข ต่อบุคลากร ครอบครัว Stakeholder รวมทั้งสังคมและสิ่งแวดล้อม ให้พัฒนาอย่างยั่งยืนต่อไป ในปีนี้บริษัทมุ่งเน้นอย่างมากในการปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม ในตัวบุคลากรซึ่งนับเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดให้เป็นคนดีมีคุณธรรม ไม่ทุจริต มีความซื่อสัตย์ต่อหน้าที่และองค์กร จากรุ่นสู่รุ่น ภายใต้นโยบาย “KTBGS คุณธรรมนำความยั่งยืน”

ซีเอสอาร์ หรือ ความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ไม่ใช่เรื่องที่ทำกันเป็นครั้งคราวและจบไป แต่เป็นเรื่องที่ต้องอาศัยความพยายามที่สม่ำเสมอและมีการต่อยอดและพัฒนาอยู่ตลอดเวลา จึงจะเรียกได้ว่าได้สร้างความมั่นคงในแง่ของความสัมพันธ์ขององค์กรกับสังคมรอบข้าง

บริษัท รักษาความปลอดภัย กรุงไทยธุรกิจบริการ จำกัด
เลขที่ 96/12 ซอยลาดพร้าว 106 (บุญอุดม 1) แขวงพลับพลา
เขตวังทองหลาง กรุงเทพมหานคร 10310

GIT เปิดตัว TEMP Pop-Up Store by GIT

ชูอัตลักษณ์ท้องถิ่นและการออกแบบร่วมสมัย
เพื่อสร้างแรงบันดาลใจนักออกแบบรุ่นใหม่

สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) เปิดตัว TEMP Pop-Up Store by GIT สร้างแหล่งเรียนรู้ และ แรงบันดาลใจด้านแฟชั่นและการออกแบบให้ กับนักออกแบบ รุ่นใหม่ และ ผู้ที่สนใจ พร้อมจำหน่ายสินค้าจากโครงการพัฒนารูปแบบและคุณภาพสินค้าอัญมณี และเครื่องประดับสู่ภูมิ- ภาคอย่างยั่งยืน ณ บริเวณห้องสมุดอัญมณีและเครื่องประดับ ชั้น 1 สถาบันวิจัยและพัฒนา อัญมณีและเครื่องประดับ แห่งชาติ(องค์การมหาชน) อาคารไอทีเอฟ ทาวเวอร์ ถนนสีลม โดยมีพิธีเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 25 ตุลาคม 2561

โดยในวันเปิดตัวสถาบันยังได้จัดกิจกรรม Workshop “Wire Your Gems to Jewelry!” เพื่อให้แขกผู้มีเกียรติ ที่เข้าร่วม งาน ได้ลองประดิษฐ์เครื่องประดับด้วยตัวเอง ผ่านการถักทอ ร้อยเรียง อัญมณี และ วัสดุอันสร้างสรรค์ โดยได้รับเกียรติ จาก คุณสุรศักดิ์ มณีเสถียรรัตนา นักออกแบบ และเจ้าของแบรนด์ Carletta Jewellery มาเป็นวิทยากร

นางดวงกมล เจียมบุตร ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ กล่าวว่า GIT ได้ ปรับรูป แบบห้องสมุดอัญมณีและเครื่องประดับ จัดโซน TEMP Pop-Up Store by GIT เพื่อสร้างศูนย์นัดพบ แห่งใหม่ให้แก่ผู้รัก การออกแบบ และแฟชั่น พร้อมสร้างโอกาสการจำหน่ายสินค้าจากอัตลักษณ์การออกแบบจากผลงานของผู้ประกอบการ ที่ผ่านการคัดเลือกในจังหวัดเป้าหมาย 5 จังหวัด ได้แก่ แพร่ ตราด เพชรบุรี สุรินทร์ และ สตูล ซึ่งมีแนวคิด และ ต่อยอด ธุรกิจจนสามารถสร้างแบรนด์ที่มีเอกลักษณ์ของตนเองโดยมีการพัฒนารูปแบบของเครื่องประดับร่วมกับนักออกแบบชื่อดัง อาทิ คุณวไลพรรณ ชูพันธ์ จากแบรนด์ FLOW คุณเอก ทองประเสริฐ จากแบรนด์ EK Thongprasert คุณสุรศักดิ์ มณีเสถียรรัตนา จากแบรนด์ Carletta Jewellery คุณอริสรา แดงประไพ จากแบรนด์ Arisara และ คุณจิตต์สิงห์ สมบุญ ซึ่งนักออกแบบแต่ละท่านจะช่วยดึงจุดเด่น ที่น่าสนใจของแต่ละจังหวัด และเครื่องประดับในท้องถิ่นมาปรับให้ร่วมสมัย และสามารถสวมใส่ได้ในชีวิตประจำวัน

พร้อมทั้งเปิดวางจำหน่ายสินค้าจากนักออกแบบชั้นนำที่การันตีจากรางวัลDEmark หรือ Design Excellent Mark จากกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และ GMARK (Good Design Mark ของประเทศ ญี่ปุ่น) ซึ่งนอกจากสินค้าอัญมณี และเครื่องประดับ ยังรวมสินค้าไลฟ์สไตล์มากมาย ไม่ว่าจะเป็น แว่นตา กระเป๋าเงิน ผ้า พันคอ เสื้อผ้า มาจัดแสดงอย่างต่อเนื่อง


โดยจะมีการปรับเปลี่ยนทุกๆ 3 เดือน ในรูปแบบนิทรรศการหมุนเวียน เพื่อให้ เกิดความหลากหลาย และสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้เข้าเยี่ยมชม โดยสำหรับครั้งนี้ ในคอนเซปต์ Eat Me เพื่อสื่อ ให้คนเห็นว่าสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับนั้นสามารถจับต้องได้ง่าย ผู้บริโภคสามารถเข้าถึง ได้ง่ายผ่าน รูปแบบของห้อง อาหารและอุปกรณ์ในการรับประทานอาหารที่นำมาใช้เป็นอุปกรณ์ตกแต่ง ให้เครื่องประดับ ดูน่า สนใจมากขึ้น และหลัง จากนี้เราได้จัดเตรียมคอนเซป Color of Party ที่จะปรับเปลี่ยนให้ TEMP Pop-Up Store ของเรามีความสดใส และดึง ดูดผู้สนใจมากยิ่งขึ้น

TEMP Pop-Up Store by GIT ถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการขยายตลาดสินค้าไทยจากชุมชนสู่ตลาดสากลผ่าน GIT สำหรับผู้ที่สนใจต้องการเลือกซื้อสินค้า ในโครงการพัฒนารูปแบบและคุณภาพสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับสู่ภูมิภาค อย่างยั่งยืน

สถาบันเปิดให้บริการในวันจันทร์ – วันศุกร์
ตั้งแต่เวลา 9.00 – 17.00 น. ณ บริเวณห้องสมุด อัญมณีและ เครื่องประดับ ชั้น 1 สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ
(องค์การมหาชน) อาคารไอทีเอฟ ทาวเวอร์ ถนนสีลม
โทร. 02 634 4999 ต่อ 102 – 103

สนใจรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.git.or.th 
https://www.facebook.com/TEMP-Pop-up-Store-by-GIT-259891488203483/

เข้าถึงวิถีไทย ผ่าน 8 เส้นทางท่องเที่ยว

8 เส้นทางท่องเที่ยว
สถานที่ยอดนิยม จังหวัดสิงห์บุรี

หนึ่งวันดีดีที่แสนสบาย อากาศรอบตัวช่วงเดือนตุลาคม ยังดูสดใส  เพราะสายฝนยังคงมาทักทายเป็นครั้งคราว วันหยุดครั้งนี้ ชวนไปเที่ยวจังหวัดสิงห์บุรี ดินแดนแห่งประวัติศาสตร์ ธรรมชาติ วัฒนธรรม และ วีรชน เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งจังหวัด ที่ต้องเดินทางไปเที่ยวสักครั้ง  มาที่นี่ท่านจะได้พบกับความเรียบง่ายและพบวิถีชีวิตที่งดงาม  ด้วยระยะทางที่ไม่ไกลจากกรุงเทพ มากทำให้จังหวัดสิงห์บุรี  สามารถเที่ยวได้ทั้งแบบไปเช้าเย็นกลับ และจะดีมากยิ่งขึ้นหากพักค้างคืนซัก 1 คืน เพื่อปรับจังหวะชีวิตให้เดินช้าลง รับอากาศบริสุทธิ์ที่เมืองเล็กแต่มากไปด้วยความงดงาม

แต่ถ้าพอมีเวลา ลองขับรถไปเที่ยวจังหวัด สิงห์บุรี กันดีกว่า เมืองใกล้กรุงที่
มีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจมากมาย เป็นเมืองเก่าที่ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์เทียบเท่ากับอยุธยา ท่องเที่ยวได้แบบสุขใจ มีโบราณสถานเก่าแก่ที่สวยงามน่าหลงใหล  ยิ่งในช่วงนี้กระแสอนุรักษ์ความเป็นไทยมาแรง เป็นการปลุกให้สิงห์บุรี กลายเป็นเมืองท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกครั้ง

พูดถึงเรื่องราว  การท่องเที่ยวในช่วงนี้ เริ่มต้นการพักผ่อนกับสถานที่ท่องเที่ยวสร้างสรรค์  และพร้อมที่จะเผยแพร่แนวคิดและวัฒนธรรมผ่านผลิตภัณฑ์ OTOP  ทีมีความพร้อมรับนักท่องเที่ยวในหลายระดับ จากทั่วทุกแห่งในแผ่นดินไทย  ไปชมผลิตภัณฑ์โอทอป หรืออาหารที่ขึ้นชื่อของแต่ละพื้นถิ่น เป็นเสมือนกุญแจที่เปิดเข้าเรื่องราวของแต่ละหมู่บ้าน ไปสัมผัสความน่ารักและรอยยิ้มของชุมชน  พร้อมแล้วไปเปิดประตูท่องเที่ยวแบบฉบับของ Otop นวัตวิถี เมืองสิงห์บุรี ไปชมวิถีไทย ผ่าน 8 เส้น ทางท่องเที่ยว ด้วยกันเถอะคะ

1.วัดประโชติการาม
มาถึงสิงห์บุรี สิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับการมาเที่ยว ที่นี่คือ สักการะ  และเพื่อขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทำบุญไหว้พระพุทธรูปปางห้ามญาติ 2 องค์ หลวงพ่อทรัพย์ สูง 6 วา 7 นิ้ว และหลวงพ่อสิน สูง 3 วา 3 ศอก 5 นิ้ว มีพุทธลักษณะที่งดงาม
เป็นวัดเก่าแก่ที่ประดิษฐานพระพุทธรูปยืนปางห้ามญาติ  ชมความงดงามของพระพุทธรูปศิลปะสมัยสุโขทัยขนาดใหญ่การอธิษฐานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีคุณค่าทางจิตใจ บางคนอาจมองเป็นเรื่องงมงายไร้สาระ หากแต่บางคนกลับมองว่า เป็นเรื่องของพลังจิตบางอย่าง และก็มีอีกบางคนเหมือนกันที่ประชดว่าเพราะเรามีชีวิตที่ล้มเหลวไร้ที่ยึดเหนี่ยว เราจึงให้ความสำคัญกับการตั้งจิตอธิษฐาน

วัดประโชติการาม ชุมชนบ้านดอนกระต่าย  ชุมชนที่อยู่ที่ลุ่มแถบแม่น้ำเจ้าพระยา ชื่อดอนกระต่าย ตามตำนาน วัดประโชติการาม เป็นที่ประดิษฐานของพระยืน ที่มีอายุ 700 กว่าปี จะมีประวัติเชื่อมโยงกับวัดพระนอนจักรสีห์วรวิหาร
ที่อยู่: ตำบล บางกระบือ อำเภอเมืองสิงห์บุรี สิงห์บุรี 16000

ในวันเสาร์ของทุกเดือน ตลาดนวัตวิถี ดอนประชด  มีนักท่องเที่ยวเยี่ยมชม ตลาดนวัตวิถี ดอนประชด ที่นี่จำหน่ายสินค้าของชุมชน ตลาดวิถีชุมชนขายสินค้าของชุมชน สามารถเลือกซื้อเลือกหาสินค้าราคาชาวบ้าน  ที่มีทั้งของกิน อย่างเช่น ผลิตภัณฑ์ น้ำพริก ปลาร้าแบบแปรรูป ปลาร้าทรงเครื่อง ปลาร้าสมุนไพร แจ่วบองทรงเครื่อง ปลาร้าผัดสมุนไพรไข่เค็ม ผลิตภัณฑ์แปรรูปน้ำพริก น้ำพริกตาแดง กลุ่มจักสาน ของใช้ และอื่นๆ อีกมากมาย

แนะนำของฝากอย่าง ทองม้วนหัวฟู  ที่นี่ใช้วัสถุดิบใหม่สดอย่างกะทิสดที่คุณป้าเคี่ยวเอง ขูดมะพร้าวด้วยตัวเอง รวมทั้งขนมชนิดอื่นๆ อาหารแบบโบราณ โดยกลุ่มแม่บ้านบ้านดอนกระต่าย ซึ่งเป็นกลุ่มแม่บ้านที่มีการสืบทอด วิธีการปรุงที่เป็นเอกลักษณ์และรสชาดดั้งเดิมของตลาดแห่งนี้ ใครจะมาเที่ยวเปิดในตอนเช้าของวันเสาร์ บอกเลยว่านักท่องเที่ยวสายกิน สายถ่ายรูปไม่ควรพลาด

เสน่ห์ของสิงห์บุรี เรื่องของเส้นทาง  กลางทุ่งข้าวเก่าแก่ กว่า  200  ปี  แห่งชุมชน บ้านดอนกระต่าย  มาที่นี่ใครที่โหยหาธรรมชาติ บรรยากาศดีดี ริมน้ำ และต้องการใช้ชีวิตแบบชิดชิดธรรมชาติ ที่ยังคงความสะดวกสบาย และไม่ไกลจากกรุงเทพฯ

วันนี้มีโอกาสพบผู้ใหญ่บ้าน นายวิทยา เต่าทอง ม.3 ตำบลบางกระบือ อ.ดอนกระต่าย ชวนมาเที่ยวสิงห์บุรี  เยี่ยมชมวิถีชีวิต มานอนพักที่ บ้านดอนกระต่าย ที่นี่มีพักในแบบโฮมสเตย์ พบกับความเรียบง่ายและวิถีชีวิตที่งดงาม สัมผัสบรรยาการการนอนโฮมสเตย์ แบบติดทุ่งนา และยังได้อิ่มอร่อยกับอาหารไทย เรียกว่ามาแต่ตัวสามานอนท่ามกลางธรรมชาติ ด้วยระยะทางที่ไม่ไกลและผู้ใหญ่พาเยี่ยมชม แหล่งอนุรักษ์เลี้ยงปลาช่อนแม่ลาที่แหล่งน้ำธรรมชาติหนองบัว แหล่งเพาะพันธ์  ปลาช่อนแม่ลา  ที่ชาวบ้านเร่งฟื้นฟูอนุรักษ์ เด็ดพืชผักข้างรั้วซึ่งเป็นผักท้องถิ่น เรียกว่าหาวัตถุดิบได้แบบใดก็ใช้แบบนั้น เรามองดูด้วยตาแต่มองเห็นด้วยสมองและภูมิปัญญาท้องถิ่น สำหรับใครที่อยากมาพักอิงแอบแนบชิดธรรมชาติ

ติดต่อ : นายวิทยา เต่าทอง ตำบลบางกระบือ อ.ดอนกระต่าย
ติดต่อได้ที่เบอร์โทร.  096 056 9409

2. อนุสาวรีย์วีรชนบ้านบางระจัน แห่งบ้านบางระจัน
ที่สิงห์บุรีก็มีให้ชมไม่แพ้ที่ไหน เส้นผ่านผลิตภัณฑ์ OTOP มีความพร้อมที่จะรับนักท่องเที่ยว อีกหนึ่งสถานที่ที่ไม่ควรพลาดเรื่องของประวัติศาสตร์ของวีรชนคนกล้า แห่งบ้านบางระจัน อนุสาวรีย์วีรชนบ้านบางระจัน กรมศิลปากรสร้างเสร็จในปี 2512

ซึมซับบรรยากาศสถานที่อันทรงคุณค่า อนุสาวรีย์วีรชนและอุทยานค่ายบางระจัน สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แก่วีรชนบ้านบางระจันผู้ประกอบวีรกรรมครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ไทย ในสมัยสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ โดยพม่าได้ยกทัพมาตีไทยและมีกองทัพส่วนหนึ่งเข้าตีหมู่บ้านบางระจัน แม้ว่าชาวบ้านบางระจันจะขาดแคลนอาวุธและมีกำลังน้อยกว่า แต่ก็ได้แสดงความกล้าหาญและความสามัคคียอมพลีชีวิตเพื่อประเทศชาติ จนได้รับการจารึกเพื่อเป็นเกียรติสืบมา

ส่วนย่าน ตลาดบ้านบางระจัน ที่อยู่ฝั่งตรงกันข้าม คึกคักไปด้วยผู้คนและนักท่องเที่ยว จนกลายเป็นเอกลักษณ์ เพราะตลาดบ้านบางระจันอยู่ในบริเวณส่วนของประวัติศาสตร์ตอนปลายของสมัยกรุงศรีฯ จากการสร้างวีรกรรม
การดีไซน์จึงออกเป็นแนวตลาดโบราณ บรรยากาศน่ารักๆ โดยเฉพาะช่วง
ออเจ้าติดลมบน ยิ่งพาให้กระแส ออเจ้า แห่งบ้านบางระจันได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวมากมาย สามารถเข้าไปเดินเที่ยวกันได้แบบสบายๆ จนเป็นที่มาของชื่อ ตลาดบ้านบางระจัน ซึมซับบรรยากาศดีดีเพื่อชมวิถีของชาวบ้านและธรรมชาติอันสวยงามและเงียบสงบ
เปิด-ปิด : 08.30-16.00 น. เสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์

ถัดมาอีกนิดไม่ควรพลาด เพราะในช่วงนี้กระแส Otop นวัตวิถีสิงห์บุรีกำลังมาแรง ต้องแวะไปช้อปของฝากและสินค้าชื่อดัง อย่างกล้วย” กลุ่มผลผลิตแปรรูปทางการเกษตร ที่อบกล้วยด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ บอกเลยว่า กล้วยตาก ผลผลิตแปรรูปทางการเกษตรรสชาติของกล้วยตาก โดยได้กำนัน ธนวันต์ ชัยรุ่งโรจน์สกุล เป็นผู้นำชาวบ้านเข้ามารวมกลุ่มกัน ได้รับการการันตีความอร่อยจากนักท่องเที่ยวมานักต่อนัก  3/2 หมู่ 9 ตำบางระจัน อ.ค่ายบางระจัน

3.ท่องเที่ยวชุมชน บ้านกระดีแดง
ด้วยความชอบส่วนตัว สำหรับชุมชนตามโครงการไทยนิยมยั่งยืน บ้านกระดีแดง กับทุ่งนาสีเขียว สีแห่งความรื่นรมย์และความสบายใจ สถานที่มีแหล่งท่องเที่ยว ร้านกาแฟน่ารัก สวยสะดุดตา ด้วยทุ่งนาที่เป็นแหล่งน้ำธรรมชาติที่ได้รับการปรับปรุงพัฒนาเป็นสระเก็บน้ำและเพาะพันธุ์สัตว์น้ำตั้งอยู่ไม่ไกลจาก วัดร้างบ้านสร้าง

4.วัดร้างบ้านสร้าง
อีกหนึ่งสสถานที่ที่น่ามาสุดๆ เป็นชุมชนเล็กๆ ที่นี่ถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์
เป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์อันสำคัญของ อ.ท่าช้าง ที่มีชื่อว่า
วัดร้างบ้านสร้าง ที่ได้รับการสนับสนุนให้เป็นชุมชนโอท้อปนวัตวิถีของสิงห์บุรี บรรพบุรุษเคารพสักการะหลายร้อยปี โดยสันนิษฐานว่า เป็นวัดสมัยอยุธยาตอนกลาง สังเกตจากฐานรูปทรงเรือสำเภาและจะมีทั้งหมด 5 ห้อง ตั้งแต่พ.ศ. 2128 บรรยากาศโดยรอบของ วัดร้างบ้านสร้าง ระหว่างที่เดินชมไปรู้สึกเหมือนกำลังก้าวผ่านช่วงเวลาจากปัจจุบันสู่อดีต เป็นฝีมือของช่างแบบดั้งเดิม เป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยความสวยงามปลกตาของทางธรรมชาติ โดยมีจุดชมวิวที่เผยให้เห็นภาพอันน่ามหัศจรรย์ของ วัดบ้านสร้าง

ที่วัดบ้านสร้าง คุณน้ำทิพย์ โตสงัด และ ผู้ใหญ่บ้าน จรูญ ใจชำนิ บ้านโพประจักษ์และชาวบ้าน ชาวบ้านหามติร่วมที่จะเปลี่ยนแปลงพัฒนาชุมชนของตนเอง ร่วมมือกันพลิกฟื้น จนได้รับการสนับสนุนจากพัฒนาชุมชน ที่วัดบ้านสร้างโดยรอบพระอุโบสถ มีความคงทนและถาวรสวยงาม จึงเข้ามาปรับปรุงเรื่องภูมิทัศน์ต่างๆปรับภูมิทัศน์และสถานที่ให้น่าสนใจ

ซึ่งในวันนี้ ชาวบ้านสร้างสะพานไม้ไผ่ เป็นเส้นทางเดินลัดไปสู่วัดบ้านสร้าง เพื่อไปสักการะ โดยสามารถจอดรถยนต์บนถนนแล้วเดินข้ามทุ่งนาข้าวตรงเข้ามายังวัดบ้านสร้างแห่งนี้ได้ นักท่องเที่ยวได้มีโอกาสได้สัมผัสกับวิถีแบบดั้งเดิมของชาวสิงห์บุรี ที่มีทุ่งนา ปกคลุมตลอดเส้นทางเดิน

สำหรับผู้ที่สนใจเที่ยวชมบรรยากาศและพักโฮมสเตย์
สามารถติดต่อที่ อบต.โพธิ์ประจักษ์ 081 7807311
หรือ ผู้ใหญ่จรูญ ใจชำนิ โทร. 087 6736539

5. วัดสว่างอารมณ์
สร้างขึ้นเป็นวัดนับตั้งแต่ประมาณ พ.ศ. 2304 โดยมีหลวงพ่อสงฆ์ เป็นผู้ดำเนินการจัดสร้างวัดนี้ ชาวบ้านจึงเรียกว่า วัดหลวงพ่อสงฆ์  ในระยะแรกเริ่มสร้างวัดนั้นหลวงพ่อสงฆ์ได้อาศัยช้างพังเชือกหนึ่งชื่อ “บุญมา” ชักลากไม้มาสร้างวัด จึงได้สร้างรูปช้างไว้บริเวณกลางลานวัดไว้เป็นอนุสรณ์ถึงนับเป็นวัดที่ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา ตั้งอยู่เลขที่ 1 บ้านไผ่ขวาง ตำบลประศุก อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย มีที่ดินตั้งวัดเนื้อที่ 18 ไร่
เรียบง่ายและงดงาม

6.เอษณะ เฟอร์นิเจอร์
เกวียนเล่มสวยๆ ที่ ศูนย์การเรียนรู้การเกษตรผสมผสาน และแหล่งเรียนรู้หัตถกรรมเฟอร์นิเจอร์ไม้เก่า สำหรับคนรักในงานไม้และอยากเป็นช่างไม้ ความปลอดภัยในการใช้เครื่องมือ เวลาเดียวกันก็ปรับรูปโฉมการจัดจำหน่าย พัฒนาเป็นศูนย์รวมเฟอร์นิเจอร์ กับการรังสรรค์พื้นที่และรวบรวมความหลากหลายที่มีทั้งไม้เก่าจากเกวียน ปลวก เป็นส่วนที่ช่วยให้เกิดลายไม้ธรรมชาติ เมื่อปลวกแทนจนเหลือแต่เนื้อไม้ จะเป็นร่องน้ำ ซึ่งก่อให้เกิดลายที่สวยงาม
ของผลิตภัณฑ์   ที่ร้านมีแนวคิด ท่องเที่ยวชุมชนเอษณะ เฟอร์นิเจอร์

“สิ่งที่ผมทำงานไม้เก่านี้ผมได้ความคิดมาจากนายหลวง ร.9  ที่นำเศษไม้
มาประยุคให้มีคุณค่า โดยไม่ต้องทำลายธรรมซาติ “
-คุณเอ เจ้าของ เอษณะ เฟอร์นิเจอร์ กล่าว

เปิดเป็นแหล่งเรียนรู้ ที่พร้อมจะให้ผู้ที่สนใจสามารถเข้ามาเรียนรู้ ฝึกหัดทุกวัน ใครที่ต้องการอาชีพ หรือต้องการจะสั่งทำเฟอร์นิเจอร์ หรือแม้แต่เข้ามาเยี่ยมชม สามารถติดต่อเข้ามาได้ ที่คุณเอษณะ
สนใจเรียนหรือสนสินค้า
ติดต่อไปได้ที่ โทร. 081 3646385

ขอบคุณ ผู้ใหญ่บ้าน คุณกิจติศักดิ์ ยิ้มเสถียร  ม.10   อ.ประสุข จ.สิงห์บุรี
โทร. 098 453 2335

7. ท่องเที่ยวชุมชนบ้านโคกหม้อ
ที่บ้านโคกหม้อ ลักษณะตามชื่อเรียก หมู่บ้านที่มีลักษณะเป็นเนินดิน เป็นโคก เคยเป็นแหล่งเตาเผาโบราณมาก่อน จากประวัติด้านหน้าบอกเอาไว้ว่า เป็นแหล่งเตาเผาแม่น้ำน้อย ไฮไลท์ของที่นี่ ถูกเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์คือ ไหสี่หู ซึ่งหาได้ยาก ปัจจุบันมีตลาดนัด OTOP นวัตวิถี ภายในบริเวณวัด สามารถเดินเล่นชิม ช้อป สินค้าจากชาวบ้านได้ทุกวันเสาร์และอาทิตย์ และเมื่อเดินเข้าสู่ด้านหลังของวัดจะพบพระปรางค์ ริมแม่น้ำน้อย มักเป็นที่จัดงานลอยกระทงและตักบาตรเทโวในช่วงวันออกพรรษา

ที่นี่  Toptotravel เราได้รู้จักกับ คุณป้าสอิ้ง เตรียมสมุนไพรสด หลายชนิดเพื่อทำลูกประคบ ป้าสอิ้ง หรือ หมออิ้ง ของชาวบ้านเล่าว่า หลังจากเกษียณราชการได้นำความรู้ความสามารถเรื่องสมุนไหรไทย ที่ต้องการถ่ายทอด ป้าสอิ้ง คิดว่า เรามีความรู้ก็อยากจะถ่ายทอด โดยเปิดบ้านเป็ฯโฮมสเตpและศูนย์การเรียนรู้เรื่องสมุนไพรไทย

คุณป้าสอิ้ง

โดยมีชาวบ้านในบริเวณใกล้เคียงให้ความสนใจเรียน  เพื่อนำไปประกอบอาชีพ โดยการเรียนเริ่มจากทฤษฎีทางกายภาพก่อน หลังจากนั้นจึงจะสามารถเริ่มเข้าสู่ปฏิบัติ หากสนใจใช้บริการสามารถไปได้ที่ศูนย์เรียนรู้บ้านสมุนไพร อยู่ใกล้ๆ ห่างจากวัดพระปรางค์ไม่เกิน 1 กิโล

8.ท่องเที่ยว ชุมชนบ้านท่าช้าง
ท่องเที่ยวชุมชนเที่ยวชม ชิม แชะ ที่ตลาดสองวัฒนธรรมไทย-จีนหมื่นหมื่นปี เป็นที่ราบลุ่มมีแม่น้ำน้อยไหลผ่านล่องเรื่อรับอากาศดีกลางแม่น้ำน้อย เรือสำหรับพานักท่องเที่ยวนั่งชมบรรยากาศจะแล่นไกลไปถึงวัดพิกุลทอง สองข้างทางจะได้ชมวิถีชีวิตชาวบ้าน ช่วงเย็นตอนบ่าย ได้แสงยามเย็นที่งดงาม อบอุ่น ในช่วงเช้า จะได้ชมวิถีชีวิตของชาวบ้าน ที่งดงามในยามเช้า และร่วมกิจกรรมพื้นที่ด้านนอกจัดเป็นที่นั่งแบบระเบียงชมวิว นั่งจิบเครื่องดื่มมองผู้คนที่ข้ามไปมาบริเวณสะพาน เป็นวิถีชีวิตที่ดูอบอุ่นและเรียบง่ายแวะมาเดินเล่นหาของอร่อยทานที่ตลาดก่อนได้ เป็นตลาดเล็กๆ มีอาหารที่ขึ้นชื่อของแต่ละพื้นถิ่นเป็นเสมือนกุญแจที่เปิดเข้าเรื่องราวของหมู่บ้าน ที่นี่ตกแต่งน่ารัก แบบซุ้มขายของมากมาย เดินเล่นแล้วได้อารมณ์แบบชาวบ้านเก๋ๆ ที่เต็มไปด้วยความสนุกสนาน

ตลาดสองวัฒนธรรม ไทย-จีน หมื่น หมื่น ปี
เปิดทุกวันเสาร์-อาทิตย์

สำนักงานพัฒนาชุมชน จังหวัดสิงห์บุรี ได้จัดทำกิจกรรมสื่อมวลชนเยี่ยมชมชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี (press tour)  และ สารคดีสั้น 5 นาที 24 ตอน การพัฒนาบุคลากรด้านการท่องเที่ยว การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวและสิ่งอำนวยความสะดวก การพัฒนาสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยว การเชื่อมโยงเส้นทางการท่องเที่ยวแต่ละท้องถิ่น การส่งเสริมการตลาดชุมชนท่องเที่ยว

ขอบคุณโครงการ นวัตวิถีสิงห์บุรี Singburi Inno  Way โดย ทอดด์ ทองดี
กับเส้นทางการเที่ยวจากจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผลิตภัณฑ์โอทอป หรืออาหารที่ขึ้นชื่อของแต่ละพื้นถิ่น  เป็นเสมือนกุญแจที่เปิดเข้าเรื่องราวของแต่ละหมู่บ้าน โดยพิธีกร ทอดด์ ทองดี นำด้วยความสงสัยว่า ผลิตภัณฑ์อาหารนี้คืออะไร?  ผู้นำที่เป็นบุคลากรดีเด่น หรือนักปราชญ์ของแต่ละหมู่บ้าน เพื่อตอบสนองความสงสัยของพิธีกร ด้วยการเล่าถึงที่มา ที่อยู่ และอนาคตของหมู่บ้าน  แล้วนำเข้าสู่รายละเอียดหรือการสาธิตการสร้าง การปรุงผลิตภัณฑ์โอทอป เมื่อเราได่เรียนรู้เรื่องราวและความเป็รมาของหมู่บ้านนั้นและผลิตภัณฑ์ OTOP ที่โดเด่นเด่น เชื่อมโยงถึงอนาคตความเป็นไปได้และ ศักยภาพของฃุมชนในแต่ละหมู่บ้าน ในจังหวัดสิงห์บุรี ได้อย่างน่าประทับใจ

จบทริปท่องเที่ยวสบาย 2 วัน ที่เมืองสิงห์บุรี สำหรับใครที่อยากมาสัมผัสความรู้สึกเหมือนเรา   มาแล้วหลุดไปอยู่ในดินแดนแห่งประวัติศาสตร์ ธรรมชาติ วัฒนธรรม และวีรชน เบิกบานใจกับสถานที่ท่องเที่ยว ในจังหวัดสิงห์บุรี วันหยุดพักผ่อนเส้นทางสายวัฒนาธรรมและประวัติศาตร์ของเมืองสิงหืบุรี เที่อยากให้ได้ลองมาสัมผัสด้วยตัวเองสักครั้ง

ทริคดูแลตัวเองจนสวยเกินหญิง

ประสบการณ์ใหม่ที่ Diva Nails & Lashes

สัปดาห์นี้ แอดมินนึกสนุก ชวนสาวๆ มาเปลี่ยนลุค  ทริคดูแลตัวเองจนสวยเกินหญิง ใครบอกหน้าแน่นต้องใช้เวลานาน  มาสลัดความเปรียวเผ็ดร้อนแบบสาวรุ่นใหม่ ชวนการต่อขนตาแบบหวานใส  หวานละมุนและดูเด็กอยู่เสมอ เพราะความสวยทำให้สาวๆมั่นใจและได้เปรียบหลายอย่าง เราก็ไม่
ใช่คนสวยนะคะ แต่คิดเสมอว่า ความสวยจะทำให้มีความมั่นใจมากขึ้น

การต่อขนตาไม่เป็นอันตรายคะ!  การต่อขนตาไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด
ที่สำคัญที่สุด ควรเลือกร้านที่มีประสบการณ์และมีความชำนาญ ทีมช่างมีประสบการณ์โดยตรงและความชำนาญด้านการต่อขนตา เครื่องมือและร้านสะอาด  ต้องปลอดภัย เพราะเรื่องตาเรื่องใหญ่ต้องเลือก ต่อแล้วออกมาสวยตาหวาน Natural look ที่ทำให้ everyday look sweet

เหตุผลที่ควรต่อขนตากับ  Diva Nails & Lashes ซาลอน เป็นร้านต่อขนตาในเครื่อเดียวกับ Lashury   ได้รับการรับรองจากญี่ปุ่นว่า ได้มาตรฐานด้านความปลอดภัย มีความเป็นธรรมชาติ  คุณภาพใกล้เคียงกับขนตาจริงมากๆ ทำให้มั่นใจได้เลยว่าผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นปลอดภัย และอ่อนโยนต่อดวงตา

การต่อขนตา หลายคนอาจเข้าใจผิด ที่ชื่อบอกว่าถาวร อยู่ได้นานตลอดไป แต่จริงๆ แล้ว ขนตาที่ต่ออยู่ได้นานหรือไม่ ขึ้นอยู่ตามวิธีการดูแลรักษาตามคำแนะนำของพนักงานผู้เชี่ยวชาญ และขึ้นอยู่กับกาวต่อขนตา และกาวต่อขนตามีความคงทน ปลอดภัย สวยงามเป็นธรรมชาติ ต่อแล้วสามารถอยู่ได้ ประมาณ 3 สัปดาห์ ใช้ระยะเวลาในต่อขนตาประมาณ 1 ชม. ระหว่างต่อหลับ พักผ่อนสบายๆ วิธีการต่อขนดา แบบเส้นต่อเส้น  ซึ่งใช้ละเอียดความปราณีตและอุปกรณ์ที่ใช่้นำเข้าจากต่างประเทศ การต่อเน้นเรื่องความปลอดภัยเป็นหลัก

มีข้อสงสัยที่ช่วงแรกบอกว่า การต่อขนตาถาวร หลายคนอาจเข้าใจผิด ชื่อบอกว่าถาวร อยู่ได้นานตลอด แต่ที่จริงแล้วขนตาที่ต่ออยู่ได้นานหรือไม่ ขึ้นอยู่กับวิธีการดูแลรักษาของเราค่ะ และขึ้นอยู่กับกาวที่ใช้ต่อขนตา

  • ขนมิ้งแท้เกรดพรีเมียม 100%
  • ชนิดของกาวที่ใช้ต่อขนตา
  • ความชำนาญของพนักงาน
  • ความสะอาดและความปลอดภัย

การต่อขนตาเป็นทางเลือกกับสาวยุคใหม่ที่เร่งรีบ ตอนนี้ในบิวตี้โซน มีร้านต่อขนตาและทำเล็บ  Diva Nails & Lashes  ร้านนี้งามตรงที่มีเครื่องดีไซน์เล็บ  มีลายให้เลือกเยอะน่ารักเต็มไปหมด  ใช้เวลาทำไม่นาน  เล็บออกมาอย่างน่ารักมากๆ   มีให้บริการทั้งทาสีเล็บธรรมดา สีเจล ต่อเล็บ  ถอดเล็บ แถมต่อขนตาอีก ดีต่อใจราคาเป็นมิตร พนักงานให้บริการดี  บอกเลยว่ามา
ใช้บริการครั้งเดียวติดใจที่นี่แน่นอน

สาวๆ สามารถมาใช้บริการต่อขนตาและรับบริการทำเล็บ สวยที่เดียวจบครบวงจร วันนี้ Diva Nails & Lashes มีNail art ลายใหม่สุดคิ้วท์ Sanrio ลิขสิทธิ์แท้ส่งตรงจากญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็น คิตตี้ (Kitty) มาย เมโลดี้ (My Melody),  กีกี้  ลาล่า (Little Twin Stars)

สิทธิพิเศษสำหรับลูกค้า Lashury   แจ้ง Promotion code  #Divainail
รับส่วนลดบริการทำเล็บทุกรายการ 30% + ฟรีปริ้นท์เล็บ Inail 1 นิ้วดีไซน์พิเศษนี้เฉพาะเดือนตุลาคมนี้  เท่านั้น

Diva Nails & Lashes ปลอดภัย ไม่แพง ต่อแล้วขนตางอนสวยเด้ง !
พิกัดร้าน : Diva Nails & Lashes ชั้น 1 บิวตี้โซน เซ็นทรัลลาดพร้าว
จองคิว/สอบถามข้อมูล 095-7037-200
Line ID : 0957037200
#ต่อขนตา #lashury #ร้านต่อขนตา #eyelashextensions  #eyelashsalon

จ.อุบลฯ ปักหมุดจุดหมายใหม่ชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี

‘เส้นทางธรรมนำวิถีพอเพียง’
4 ชุมชนใน อ.ตาลสุม

เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่สำหรับโครงการชุมชนท่องเที่ยว OTOP  นวัตวิถี    ‘เส้นทางธรรมนำวิถีพอเพียง’ อ.ตาลสุม จ.อุบลราชธานี ภายใต้โครงการไทยนิยม ยั่งยืน โดย นายสฤษดิ์ วิฑูรย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี ให้เกียรติเป็นประธานเปิดงาน ณ ริมสระบัว บ้านห่องแดง ต.นาคาย อ.ตาลสุม สถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ล่าสุดที่ได้รับความนิยมจากประชาชนและนักท่องเที่ยว มาเดินชมทุ่งนาบัว ถ่ายรูปบนสะพานไม้ เช็คอิน และแชร์ภาพอย่างแพร่หลายอยู่ในขณะนี้

​อ.ตาลสุม อยู่ห่างจากตัวเมืองอุบลราชธานีไปทางทิศตะวันออกประมาณ 34 กิโลเมตร เป็นพื้นที่ที่มีต้นตาลจำนวนมากอยู่ริมฝั่งแม่น้ำมูล จึงเรียกบริเวณนี้ว่า ‘ตาลชุม’ ต่อมาเพี้ยนเป็น ‘ตาลสุม’ มีคำขวัญประจำอำเภอว่า 

“ผ้าห่มงาม ข้าวหลามรสดี มากมีลูกตาล หวานมันฝักบัว”  โดยมีชุมชนเป้าหมายในโครงการชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี ‘เส้นทางธรรมนำวิถีพอเพียง’ 4 ชุมชน ประกอบด้วย บ้านห่องแดง, บ้านสำโรงใหญ่, บ้านคำหว้า และบ้านนามน

 

​“บ้านห่องแดง ต.นาคาย” เป็นชุมชนที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นทางธรรมชาติ
ที่อุดมสมบูรณ์ด้วยต้นตาล ซึ่งให้ลูกตาลรสชาติดีตลอดทั้งปีจนกลายเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญของชุมชน นอกจากภาพทุ่งนาเขียวขจีที่รายล้อมด้วยต้นตาลแล้ว ล่าสุด ‘ทุ่งนาบัวบ้านห่องแดง’ ก็กลายเป็นจุดเช็คอินแห่งใหม่
ที่ดึงดูดผู้คนมาเที่ยวชมอย่างไม่ขาดสาย เป็นโอกาสให้ผลิตภัณฑ์ OTOP บ้านห่องแดง ได้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์แปรรูปจากดอกบัว ได้แก่ น้ำนมเม็ดบัว โดนัทเม็ดบัว ลูกประคำเม็ดบัว ดอกบัวแห้ง และผลิตภัณฑ์อื่นๆ เช่น หมวกสาน เสื่อจากใบเตย เสื่อผือ
กระติ๊บข้าว ตาลสดอ่อน และขนมตาล สำหรับนักท่องเที่ยวที่สนใจลิ้มรสอาหารพื้นถิ่นของบ้านห่องแดง ต้องไม่พลาดชิม 5 เมนูเด็ด ได้แก่ ยำผัก
จากเม็ดบัว ต้มไก่บ้านใส่ใบมะขาม ปลาทอด ส้มตำ และบัวลอยแก้ว

​“บ้านสำโรงใหญ่ ต.สำโรง” เป็นชุมชนที่มีชื่อเสียงด้านการอนุรักษ์งานพุทธศิลป์ด้วยฝีมือการวาดภาพพุทธประวัติที่มีสีสันสวยงาม โดยมีการจัดตั้งกลุ่มผลิตผ้าผะเหวด หรือผ้าวาดภาพพระเวสสันดรชาดก ซึ่งถือเป็นงานหัตถกรรม OTOP ที่ขึ้นชื่อและได้รับการยอมรับทั้งในท้องถิ่นและในระดับจังหวัด สอดคล้องกับสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญทางจิตใจ นั่นคือ หลวงพ่อพระเจ้าใหญ่ประทานพร วัดสำโรงใหญ่ ที่คนในชุมชนและนักท่องเที่ยวนิยมมากราบไหว้ขอพร ขณะที่ผลิตภัณฑ์ OTOP ที่มีชื่อเสียงนอกจากผ้าพระเวสสันดรชาดกแล้ว ยังมีกรอบพระ เครื่องจักสาน ผ้าห่มนาโน  พรมเช็ดเท้า พริกป่นแปรรูป แจ่วบอง กล้วยฉาบ และมะยมเชื่อม ส่วนเมนูพื้นบ้านที่คนใ
นชุมชนพร้อมเสิร์ฟนักท่องเที่ยว ได้แก่ แกงหน่อไม้ ต้มไก่บ้าน ป่นปลา-นึ่งผัก แจ่วบอง และข้าวเม่าคลุกมะพร้าวอ่อน

​“บ้านคำหว้า ต.คำหว้า” เป็นอีกหนึ่งชุมชนที่โดดเด่นด้านการดำเนินชีวิตตามวิถีพอเพียง ทรัพยากรทางธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ถูกนำมาแปรรูปเป็นของกินของใช้ในชีวิตประจำวัน ขณะเดียวกันก็กลายเป็นสินค้า OTOP หลากหลายประเภทที่สร้างรายได้ให้ชุมชนอย่างน่าพอใจ ไม่ว่าจะเป็น ไม้กวาดทางมะพร้าว กระเป๋าผ้าฝ้าย ผ้ารองแก้ว พรมเช็ดเท้า เสื่อทอ เปล ยาหม่อง น้ำมันเขียว รวมไปถึงงานสานพลาสติก ได้แก่ พัด ตะกร้าสาน ส่วนเมนูอาหารพื้นถิ่นที่ชาวบ้านคำหว้าตั้งใจจัดให้นักท่องเที่ยวชิม ได้แก่ ต้มไก่บ้าน แกงหน่อไม้ ป่นปลา แจ่วบอง น้องนางทรงเครื่อง (ไข่ตุ๋น) และน้องนางรอดรู (ลอดช่อง)

 

​“บ้านนามน ต.ตาลสุม” เป็นชุมชนที่อยู่ติดกับแม่น้ำมูล คนในชุมชนส่วนใหญ่จึงออกหาปลาเป็นอาชีพหลัก และสืบสานภูมิปัญญาทางหัตถกรรมจากรุ่นสู่รุ่น พัฒนาต่อๆ กันมาจนกลายเป็นผลิตภัณฑ์ OTOP ที่น่าสนใจ ได้แก่ ตะกร้าจากไม้ไผ่ ตะกร้าจากพลาสติก เบาะรองนั่ง ผ้ารองจาน ผ้ารองแก้ว เปลผ้า กระเป๋าผ้า ผ้าห่ม พรมเช็ดเท้า และไม้ถูพื้น ขณะเดียวกัน เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสรสชาติอาหารพื้นถิ่น ชาวบ้านนามนจึงได้จัดสำรับเด็ดมาโดยเฉพาะ ได้แก่ ลาบปลา ยำน้องแก้ว (ปลาแก้ว) สิบล้อยกล้อ (ปูนาทอด) ป่นปลา-ลวกผัก ไข่หน้ามน (ไข่เจียว) และนารีจำศีล (กล้วยบวดชี)

ทั้งนี้ จังหวัดอุบลราชธานีมุ่งหวังว่าโครงการชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี ภายใต้โครงการไทยนิยม ยั่งยืน จะสร้างรายได้แบบกระจายตัวทั่วถึงทั้งชุมชน และพัฒนาศักยภาพทำให้ชุมชนสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างเข้มแข็งและยั่งยืน

 

สนใจสอบถามข้อมูลชุมชนท่องเที่ยวได้ที่สำนักงานพัฒนาชุมชนอำเภอตาลสุม โทรศัพท์ 081-8234131

SACICT CRAFT TREND 2019 OPEN HOUSE

เปิดตัวหนังสือและแกลเลอรี่
SACICT Craft Trend 2019
งานคราฟต์ภายใต้แนวคิดใหม่
Retelling the Detailing

จากความมุ่งมั่นสืบสานวัฒนธรรม  สู่แนวทางพัฒนางานหัตถกรรมในระยะยาวอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด ศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ  (องค์การมหาชน) นำโดย คุณอัมพวัน พิชาลัย ผู้อำนวยการ ขึ้นเป็นประธานในพิธีเปิดตัวหนังสือ SACICT Craft Trend 2019 พร้อมจัดแสดงนิทรรศการ โดยจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 5 ซึ่งได้รวบรวมเทรนด์และพฤติกรรมของผู้บริโภคที่น่าสนใจ
4 เทรนด์หลัก ๆ เพื่อเป็นแนวทาง ในการพัฒนา  และต่อยอดแนวคิดการผลิตผลงานหัตถกรรมให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด

คุณอัมพวัน พิชาลัย ผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ(องค์การมหาชน)

โดยมีผู้คร่ำหวอดในวงการงานหัตถกรรมและการออกแบบ คุณแสงระวี สิงหวิบูลย์ รองผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (องค์การมหาชน) และ คุณดำรง ลี้ไวโรจน์ บรรณาธิการบริหารนิตยสาร room มาร่วมบอกเล่าแบ่งปันประสบการณ์ถ่ายทอดความเคลื่อนไหวของงาน Craft Trend ในอนาคต พร้อมทิศทางงานออกแบบจากทั่วทุกมุมโลก

เพื่อนำแนวคิดไปใช้ต่อยอดด้านการออกแบบได้อย่างตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้นซึ่งได้มีการจัดงานเปิดตัวหนังสือและแกลเลอรี่อย่างเป็นทางการ เมื่อวันอังคารที่18 กันยายน 2561 ณ ศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

คุณอัมพวัน พิชาลัย ผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (องค์การมหาชน) กล่าวว่า “งานศิลปหัตถกรรมมีแนวโน้มได้รับความนิยมมากขึ้นเป็นสาขาที่กำลังเป็นที่สนใจของคนทั่วโลกซึ่งงานศิลปหัตถกรรม
ได้เข้าไปอยู่ในไลฟ์สไตล์และเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยเทรนด์จึงเป็นแนวโน้ม การพัฒนาของโลกและสะท้อนถึงงานศิลปหัตถกรรม กระบวนการผลิต,วัตถุดิบการนำเสนอผลิตภัณฑ์ หรือการนำมาใช้งานผลิตภัณฑ์
จึงเป็นที่มาของเทรนด์โดยทาง SACICT ดำเนินการมาปีนี้เป็นปีที่ 5

โดยจะพยายามให้เทรนด์เหล่านั้น  เข้ามาอยู่เป็นส่วนหนึ่งในการทำงาน
โดยนำมาใช้ประโยชน์เพื่อให้เป็นการพัฒนางานศิลปะหัตถกรรมและต่อยอดสืบไป ซึ่งเทรนด์ต่างๆ นั้นมีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นทางเราจึงมีนโยบายการศึกษาวิจัยตลาดมากขึ้นทำ Trend Talk, Guru panel และ ศึกษาแนวโน้มของต่างประเทศอีกด้วย เรามีมุมมองในด้านต่างๆไม่ว่าจะเป็นนักออกแบบ, นักการตลาด, ผู้ใช้งานผู้ที่เกี่ยวข้องต่างๆที่เข้ามามีส่วนร่วมกับ SACICT ในแต่ละปีก็จะมีความหลากหลาย ช่วยสะท้อนถึงแง่มุมต่างๆในการกำหนดเทรนด์ได้มากขึ้น”

SACICT CRAFT TREND 2019 OPEN HOUSE   ที่ตื่นตา ทั้งการเปิดตัวหนังสือ SACICT Craft Trend 2019 ที่ปีนี้  ได้มีการรวบรวมเทรนด์และ พฤติกรรมของผู้บริโภคที่น่าสนใจออกมาเป็น 4 เทรนด์หลัก

เทรนด์แรก  ซึ่งเป็นหัวใจหลักของงาน คือ Retelling the Detailing การนำเสนอที่มาที่ไปของสินค้าหัตถกรรมด้วยการ “เล่าเรื่อง” ที่เน้นการตอกย้ำถึงคุณค่าผลิตภัณฑ์ นำเสนอเรื่องราวเชิงลึกในรายละเอียดซึ่งมีอยู่ในขั้นตอนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเล่าประวัติศาสตร์ของแบรนด์ ผลิตภัณฑ์ หรือชุมชน ต่อยอดจากผลิตภัณฑ์เดิมให้มีเรื่องราวเพิ่มขึ้น โดยในนิทรรศการคุณจะได้พบกับผลิตภัณฑ์น่าสนใจจากเทรนด์นี้อาทิ ม้านั่งไม้ ผลงาน Thinkk Studio และกลุ่มแกะสลักบ้านตองกาย จังหวัดเชียงใหม่ จากโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ไทยนวัต-ศิลป์ SACICT เก้าอี้พลาสติกหุ้มเศษผ้าเก่าของ ภาสุรี วิรัชวิบูลย์กิจ หรือหูฟังตกแต่งลายเบญจรงค์ การนำบริบทของเบญจรงค์ในรูปแบบที่แปลกใหม่ ใช้ในชีวิตประจำวันได้ง่ายขึ้น โดยคุณกฤษณ์ พุฒพิมพ์ และคุณบุญญารัตน์ เบญจรงค์จากโครงการพัฒนาอัตลักษณ์เบญจรงค์ไทย SACICT

ต่อด้วยเทรนด์ที่สอง ตอบโจทย์ชีวิตผู้คนเมืองใหญ่ที่ห่วงใยสิ่งแวดล้อม กับ Tropical Dream คือ การนำความเป็นธรรมชาติ มาทำให้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันด้วยการจำลองบรรยากาศความเขียวไว้ในบ้าน หรือที่ ทำงานรวมถึงการสร้างสรรค์กิจกรรมในรูปแบบต่างๆ ซึ่งเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการช่วยเติมความสดชื่นให้กับจิตวิญญาณของคนเมือง ผ่านการหยิบชิ้นงานของตกแต่งบ้านชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่ใช้ “ไม้” และเส้นใยธรรมชาติเป็นวัสดุหลัก อาทิเก้าอี้สตูลจากไม้ไผ่ขด เส้นสายจากธรรมชาติที่นำไปสู่รูปทรงและลวดลายที่โดดเด่น โดย Plural Designs และชุมชนงานไม้ไผ่ขด บ้านศรีปันครัว จังหวัดเชียงใหม่ จากโครงการไทยนวัตศิลป์ SACICT ร่วมด้วยการใช้รูปทรงรูปลักษณ์และลวดลายของธรรมชาติมาใช้ได้อย่างลงตัว

เทรนด์ที่สาม Righteous Crafts คือความพิถีพิถันในการพิจารณาว่าสินค้านั้น ๆ มีความถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมหรือสังคมอย่างไรหรือไม่ เป็นการหันไปมอง “ที่มาที่ไป” ที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมของสินค้าแต่ละชิ้น การออกแบบที่นึกถึงวัฒนธรรมแบบบริโภคนิยม การไม่ใช้วัสดุแบบทิ้งขว้างจึงขยายวงกว้างในการออกแบบอย่างหยั่งลึก เห็นได้จากผลงานตะกร้าใส่ของ ผลิตภัณฑ์งานจักสานจากเนื้อไผ่และ
ผิวไผ่ ออกแบบ: Plural Designs และกลุ่มจักสานไม้ไผ่ บ้านก๋ายน้อย อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ จากโครงการไทยนวัตศิลป์ SACICT ที่
นำมาจัดแสดงในนิทรรศการ เรียกได้ว่า  เป็นการคิดค้นกระบวนการผลิต
ที่ไม่รบกวนสิ่งแวดล้อม หรือเลือกใช้วัสดุทางเลือกรูปแบบใหม่ ๆ ขึ้นมา
ใช้ทดแทน รวมถึงการคืนประโยชน์ให้แก่ชุมชนหรือเจ้าของวัตถุดิบ ไม่
ว่าจะเป็นการคืนรายได้ให้ชุมชน พัฒนาองค์ความรู้ร่วมกับเจ้าของภูมิปัญญาอย่างใกล้ชิดอีกด้วย

สุดท้ายกับเทรนด์ที่เกี่ยวพันกับธุรกิจการท่องเที่ยว Surreal Hospitality
คือ พูดถึงการออกแบบตกแต่งสถานที่ต่างๆ ในรูปแบบที่จะสามารถสร้างความประทับใจจนเกิดการแชร์และบอกต่อได้ ซึ่งเป็นผลจากพฤติกรรมส่วนหนึ่งจากกลุ่มเจเนอเรชั่นY โดยเป็นกลุ่มที่น่าจับตาทั้งในฐานะผู้บริโภคและนักท่องเที่ยวที่มีผลต่อธุรกิจท่องเที่ยวอย่างมหาศาล ดังนั้นการออกแบบในพื้นที่เหล่านั้นจึงเป็นโอกาสให้เกิดงานคราฟต์พื้นถิ่นสุดวิจิตรที่จะได้รับการประยุกต์ให้ร่วมสมัยตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายนี้ได้เป็นอย่างดีมากขึ้น อย่างเช่น ผลงานการออกแบบของคุณกฤษณะลักษณ์ ภัครกุทวี หยิบเอาเสื่อกก มาออกแบบให้เป็นชิ้นส่วนประดับตกแต่งผนัง เพิ่มมูลค่าให้แก่สิ่งที่ดูคุ้นตาสะดุดใจ ประกอบกับการใช้  วิธีออกแบบเป็นชิ้นส่วนโมดูลาร์ เพื่อให้ถอดประกอบปรับเปลี่ยนรูปทรงได้ง่าย  เป็นหนึ่งในผลงาน  จากการประกวด Innovative Craft Award 2018  ซึ่งได้นำมาจัดแสดงนิทรรศการใน
ครั้งนี้อีกด้วย

สนใจสามารถเข้าร่วมงานที่เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจนี้ได้ตั้งแต่วันที่ 18 กันยายน 2561 เวลา 10 โมงเป็นต้นไป ณ Innovative Craft Gallery
ชั้น 2 อาคารศาลาพระมิ่งมงคล ศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (องค์กรมหาชน) อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

ผู้สนใจสามารถเข้าร่วมงานได้ตั้งแต่วันที่ 18 กันยายน 2561 เป็นต้นไป
ณ Innovative Craft Gallery ชั้น 2 อาคารศาลาพระมิ่งมงคล
ศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (องค์การมหาชน)
อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.sacict.or.th
ติดตามข่าวสารที่ www.facebook.com/sacict/

มหกรรมงานสัญจรครั้งยิ่งใหญ่แห่งภาคอีสาน

The 4th Print & Embroidery
in Northeast 2018

พิธีเปิดงานแสดงสินค้า  เทคโนโลยีการพิมพ์ แอลอีดี และ จักรปัก สัญจร
ครั้งที่ 4 หรือ (The 4th Print & Embroidery in Northeast 2018) ซึ่งมี นางสาวมินท์ธิตา นิธิกรกุลนันทน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท วันทูวัน ครีเอชั่น จำกัด ในฐานะสมาชิกสมาคมงานแสดงสินค้าไทยและออร์แกนไนซ์หลัก
ที่ KICE ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติขอนแก่น

มินท์ธิตา นิธิกรกุลนันทน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท วันทูวัน ครีเอชั่น จำกัด ออร์แกนไนซ์ ผู้จัด งานแสดงสินค้า ปริ้นท์เทค และจักรปัก สัญจร ครั้งที่ 4 โดยได้รับกียรติจาก ท่านสุชัย บุตรสาระ รองผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น เป็นประธานในพิธีเปิดงาน

การจัดงานแสดงสินค้าเทคโนโลยี ปริ้นท์เทค และจักรปัก สัญจร ครั้งที่ 4 จังหวัดขอนแก่น มินท์ธิตา นิธิกรกุลนันทน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท วันทูวัน ครีเอชั่น จำกัด ออร์แกนไนซ์ ผู้จัด งานแสดงสินค้า ปริ้นท์เทค และจักรปัก สัญจร ครั้งที่ 4 จังหวัด ขอนแก่น เป็นการนำผู้ประกอบการยิ่งใหญ่ 4 ด้าน โดยได้รับกียรติจาก ท่านสุชัย บุตรสาระ รองผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น เป็นประธานในพิธีเปิดงาน

ท่านสุชัย บุตรสาระ รองผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น เป็นประธานในพิธีเปิดงาน

เนื่องจากเห็นว่าจังหวัดขอนแก่นเป็นจังหวัดที่มีอัตราการเติบโตสูงและเป็นจุดศูนย์สำคัญของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีความพร้อมทั้งทางด้านการขนส่ง การศึกษาและเป็นศูนย์กลางด้านขอบพัฒนาแนวเศรษฐกิจกระจายโอกาสในการ สร้างงานสร้างอาชีพสำหรับคนต่างจังหวัด

อีกทั้งยังเป็นจังหวัดที่เป็นศูนย์กลางติดต่อสื่อสารของภูมิภาคกงสุลใหญ่ของประเทศ เช่น เวียดนาม ลาว เปรู และฝรั่งเศส นับเป็นอีกหนึ่งที่ชี้วัดว่า
จะเป็นจุดเชื่อมภาคตะวันออกเฉียงเหนือกับโลกในอนาคต บริษัท วันทูวัน ครีเอชั่น จำกัด และผู้ประกอบการจากกรุงเทพฯเล็งเห็นความสำคัญจุดนี้ จึงเข้ามาขยายตลาดด้านการค้าการลงทุนในจังหวัดขอนแก่น เป็นศูนย์กลางของภาคตะวันออกเฉียงเหนือต่อไป

อีกทั้งยังเป็นจังหวัดที่เป็นศูนย์กลางติดต่อสื่อสารของภูมิภาคกงสุลใหญ่ของประเทศ เช่น เวียดนาม ลาว เปรู และฝรั่งเศส นับเป็นอีกหนึ่งที่ชี้วัดว่า
จะเป็นจุดเชื่อมภาคตะวันออกเฉียงเหนือกับโลกในอนาคต

บริษัท วันทูวัน ครีเอชั่น จำกัด และผู้ประกอบการจากกรุงเทพฯเล็งเห็นความสำคัญจุดนี้ จึงเข้ามาขยายตลาดด้านการค้าการลงทุนในจังหวัดขอนแก่นซึ่งเป็นศูนย์กลางของภาคตะวันออกเฉียงเหนือต่อไป อย่างไรก็ตามการนำสินค้าเหล่านี้มาจัดแสดงและสาธิตการพิมพ์จากเครื่องจักรทั้งราคาถูกถึงราคาแพง ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการที่ทำอยู่แล้วและผู้ประกอบการที่เพิ่มเริ่มทำธุรกิจใหม่ที่กำลังก้าวเข้ามาและต้องการหาเทคโนโลยีใหม่ ด้านเครื่องจักรในการพิมพ์โฆษณาในการพิมพ์

 

ทั้งที่มีไฟจากหลอดไฟแอลอีดี ที่จะมาช่วยเหลือต้นทุนการผลิต และเรื่องของการทำงานให้รวดเร็วและไวขึ้นจากเดิม อีกทั้งยังเป็นงานที่สนับสนุนให้นักธุรกิจได้มาพบปะแลกเปลี่ยนแนวความคิดในการพัฒนาความต้องการของผลิตภัณฑ์สู่ตลาดสากล โดยคณะผู้จัดงานทุกคนคาดหวังว่า จะเป็นการเพิ่มโอกาสทางธุรกิจและเพิ่มผลกำไรให้กับผู้ประกอบการอย่างสูง และมีความุ่งมั่นตั้งใจให้งานแสดงสินค้าเทคโนโลยีการพิมพ์ แอลอีดี และจักรปัก สัญจรให้มีศักยภาพและมีชื่อเสียงต่อไป

ปริ้นเทคและจักรปัก สัญจร จังหวัดขอนแก่น นำกองทัพจักรปักผ้าคอมพิวเตอร์,จักรอุตสาหกรรมและงานสกรีนบนผ้า วัสดุอุปกรณ์สำหรับงานเสื้อผ้า KICE งานปริ้นท์เทคและจักรปักสัญจร ครั้งที่ 4 พบกับบู๊ทสินค้าจากผู้นำเข้ากว่า 50 บริษัท ที่นำเครื่องมาจัดแสดงในงาน อาทิ เครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ท,มัลติฟังค์ชั่น และอุปกรณ์ก่อนและหลังการพิมพ์ สำหรับศูนย์ถ่ายเอกสารครบวงจร และสินค้าจักรปัก เครื่องพิมพ์เสื้อ เครื่องสกรีน อุปกรณ์สกรีน และสินค้าอื่นๆอีกมากมายและเข้าร่วมกิจกรรม Workshop “การสร้างสีสันบนไม้ด้วยน้ำยา Crystal Ice Resins” พร้อมร่วมสนุกกับกิจกรรมภายในงาน ลุ้นรับโชคทอง 10,000 บาทศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ จังหวัดขอนแก่น

ติดต่อสอบถามได้ที่
คุณมินท์ธิตา นิธิกรกุลนันทน์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด
โทร.02-060-0795-96,082-4559642
Website : www.printtechexpo.com
Line : printtechexpo

#โรงงานการ์เม้นท์,#ร้านสกรีนเสื้อ,#ร้านปักเสื้อหมวก,
#ร้านขายผ้าค้าส่ง,#ร้านตัดเย็บเสื้อผ้า,#ร้านขายเสื้อผ้าแฟชั่น,#Fabric

 

ทำไม Bell & Ross จึงมีราคาแพงระดับรถสปอร์ตระดับหรูหรา ระดับโลก

เบลล์ แอนด์ รอส 

Bell & Ross แบรนด์นาฬิกาสุดยอดนาฬิกาที่แฟนพันธุ์แท้ นาฬิกามากับทรงสี่เหลี่ยมที่เป็นเอกลักษณ์ของค่าย Bell & Ross ซึ่งยึดแบบของมาตรวัดที่ปรากฏอยู่บนหน้าปัดของเครื่องบิน และเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์มาโดยตลอด แต่แทนที่จะเป็นการใช้วัสดุอย่างเหล็ก ไทเทเนียม หรือคาร์บอนไฟเบอร์

แบรนด์ที่สุดคลาสสิคอย่าง Bell & Ross เน้นการพัฒนาตัวเรือนที่ผลิตจาก Sapphire และประสบความสำเร็จ การใช้ Sapphire สำหรับผลิตตัวเรือนนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะด้วยเหตุที่ Sapphire มีกระบวนการตกผลึกที่ไม่เสถียรการสร้างสีสันให้กับวัสดุประเภทนี้จึงเป็นเรื่องยาก Bell & Ross ติดตั้งกลไกที่ขึ้นชื่อในเรื่องของราคาที่แรงและแพงปัจจุบันมาตรฐานระดับสูงของ เบลล์แอนด์รอส ได้รับการยอมรับจากองค์กรทางการทหารต่างๆ ให้เป็นผู้ผลิตเครื่องบอกเวลาอย่างเป็นทางการ

เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2018 ณ ห้องรับรอง The Cocoona Lounge ที่ชั้น 19 Gaysorn Village เปิดตัวและจัดแสดงคอลเลกชั่นนาฬิการุ่นล่าสุดแห่งปี โดยได้เชิญสื่อมวลชนชั้นนำมาร่วมงานการเปิดตัวและจัดแสดงดังกล่าว ภายในงานนอกจากจัดแสดงนาฬิการุ่นล่าสุดของแบรนด์เช่น
BR 01 Laughing Skull, BR-X1 RS18, BR V2-94 RS18, BR 03-92 Diver Blue, BR 03-92 Diver Bronze, BR V2-94 Racing Bird และอื่นๆ อีกมากมาย

Mr. Tong Chee Wei, General Manager Asia แห่งแบรนด์ในภูมิภาคเอเชียอย่างใกล้ชิดอีกด้วย ไม่เพียงเท่านี้ Miss Adelyn Kong, Senior Marcom Manager แห่งแบรนด์ Bell & Ross ได้ก่อตั้งขึ้น ความตั้งใจคือออกแบบนาฬิกา Bell & Ross ได้หยิบเทคโนโลยีทางวัสดุจากรถสูตรหนึ่งเข้ามา โดยตัวเรือนนั้นทำจากเซรามิก หน้าปัดทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ ตรงขอบสเกลจับเวลาจะใช้อลูมิเนียมและในส่วนสีเหลืองนั้นชุบสีด้วยกรรมวิธีอโนไดซ์

ทั้งนี้ Cortina Watch แห่งประเทศไทยเชื่อมั่นว่า Bell & Ross จะประสบความสำเร็จในประเทศและสามารถทำให้นักสะสมและผู้หลงใหลนาฬิกาชาวไทยรับรู้ถึงแก่นแท้และจิตวิญญาณแห่งแบรนด์ได้อย่างกว้างขวาง

ณ ห้องรับรอง The Cocoona Lounge ที่ชั้น 19
ศูนย์การค้า Gaysorn Village

วางขายที่ตัวแทนจำหน่ายทั่วโลก รวมถึงการจำหน่ายออนไลน์ www.bellross.com

ทรู ไอดีซี ผนึกกำลัง บีบีไอเอ็กซ์ ประเทศญี่ปุ่น เปิดตัว “บีบีไอเอ็กซ์ (ไทยแลนด์)”

ปั้นไทยเป็นศูนย์กลางแลกเปลี่ยนข้อมูลมาตรฐานสากลในเอเชีย

ทรู อินเทอร์เน็ต ดาต้า เซ็นเตอร์ (ทรู ไอดีซี) ผู้นำด้านการให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์และคลาวด์ครบวงจรในประเทศไทย ประกาศร่วมทุนกับ บีบีไอเอ็กซ์ ประเทศญี่ปุ่น (BBIX Inc. Japan) ผู้ให้บริการศูนย์กลางแลกเปลี่ยนข้อมูลอินเทอร์เน็ต (Internet Exchange Point: IXP) อันดับ 1 ในประเทศญี่ปุ่น (ถือหุ้นโดยซอฟต์แบงก์ กรุ๊ป คอร์ป 100%) เพื่อก่อตั้ง บริษัท บีบีไอเอ็กซ์ (ไทยแลนด์) จำกัด (BBIX (Thailand) Company Limited) ให้เป็นศูนย์แลกเปลี่ยนข้อมูลที่เป็นกลางตามมาตรฐานสากล นำไปสู่การพัฒนาการใช้งานอินเทอร์เน็ตและโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีสารสนเทศด้านการสื่อสารในประเทศไทย และต่างประเทศ ผลักดันประเทศก้าวข้าม
สู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy) อย่างสมบูรณ์แบบ

ศุภรัฒศ์ ศิวะเพ็ชรานาถ สิงหรา ณ อยุธยา ผู้จัดการทั่วไป และประธานคณะผู้บริหารฝ่ายเทคโนโลยี บริษัท ทรูไอดีซี

ศุภรัฒศ์ ศิวะเพ็ชรานาถ สิงหรา ณ อยุธยา ผู้จัดการทั่วไป และประธานคณะผู้บริหารฝ่ายเทคโนโลยี บริษัท ทรูไอดีซี กล่าวว่า “เนื่องจากอินเทอร์เน็ตเป็นพื้นฐานของการพัฒนาเศรษฐกิจในยุคปัจจุบัน ทั้งการใช้ชีวิตประจำวัน การทำงาน รวมถึงธุรกรรมต่างๆ และจากการใช้งานอย่างก้าวกระโดดนี้ ก่อให้เกิดการรับส่งข้อมูล (Content/Media) บนเครือข่ายมหาศาล ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการรับส่งข้อมูลบนโครงสร้างพื้นฐานปัจจุบัน ทรู ไอดีซี ยังคงมุ่งมั่นผลักดัน และตอบสนองนโยบายรัฐบาล Thailand 4.0 ในการพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐานทางไอที (Infrastructure) อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งเล็งเห็นถึงความสำคัญของการบริหาร จัดการ และวิเคราะห์ข้อมูลขนาดมหาศาล (Data Analytic) นำไปสู่กระบวนการทำงานแบบปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) ที่ชาญฉลาด

เพื่อตอบสนองการใช้ชีวิตให้กับคนยุคใหม่อย่างลงตัวและการร่วมมือกับบริษัท บีบีไอเอ็กซ์ ซึ่งเป็นผู้นำด้านการให้บริการศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนข้อมูลอินเทอร์เน็ตที่เติบโตเร็วที่สุดในประเทศญี่ปุ่น ในการพัฒนาศูนย์แลกเปลี่ยนข้อมูลอินเทอร์เน็ตที่เป็นกลางตามมาตรฐานสากลขึ้นในประเทศไทย ให้รองรับการทำงานสำหรับทุกภาคส่วน ตั้งแต่ ภาครัฐบาล ภาคเอกชน ผู้ให้บริการเครือข่าย และผู้ให้บริการคอนเทนต์ พร้อมต่อยอดไปยังผู้ให้บริการในต่างประเทศ”

มร.เคอิชิ มากิโซโน ประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บีบีไอเอ็กซ์ และ บริษัท บีบีไอเอ็กซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด

 

มร.เคอิชิ มากิโซโน ประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บีบีไอเอ็กซ์ และ บริษัท บีบีไอเอ็กซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เผยว่า “เนื่องจากเศรษฐกิจดิจิทัลประเทศไทยมีแนวโน้มในการเติบโตสูง แต่การให้บริการเชื่อมต่อข้อมูลอินเทอร์เน็ตยังพัฒนาไม่เต็มประสิทธิภาพ ตลอดระยะเวลา 5 ปี ที่ผ่านมา ระบบของ BBIX สามารถรองรับการขยายตัวได้มากกว่า 50 เท่า อย่างมีประสิทธิภาพ จากประสบการณ์ในการพัฒนารูปแบบบริการแลกเปลี่ยนข้อมูลอินเทอร์เน็ต (Traffic) ทำให้เราเล็งเห็นว่าประเทศไทยยังมีศักยภาพในการเติบโตด้านอินเทอร์เน็ตอีกมาก เราจึงตัดสินใจร่วมมือกับทรูไอดีซี ซึ่งเป็นผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูลที่มีความเป็นกลาง และมีมาตรฐานระดับโลก ก่อตั้งศูนย์แลกเปลี่ยนข้อมูลอินเทอร์เน็ตด้วยการ ใช้เทคโนโลยีระดับสากล โดยทีมงานที่มีประสบการณ์ในธุรกิจนี้กว่า 15 ปี เราจึงมั่นใจว่า บีบีไอเอ็กซ์ (ไทยแลนด์) จะเป็นศูนย์แลกเปลี่ยนข้อมูลอินเทอร์เน็ตที่ทันสมัยและมีศักยภาพที่สุดในประเทศ”

จากการผนึกกำลังข้ามชาติระหว่างสองผู้นำในตลาดไอที ก่อให้เกิด บีบีไอเอ็กซ์ (ไทยแลนด์) มีหลักในการพัฒนาการ ให้บริการอินเทอร์เน็ตภายใต้ 3 แนวคิด คือ ลดความยุ่งยากและซ้ำซ้อน (Simple) เพิ่มความเร็ว (Low Latency) และลดค่าใช้จ่าย (Cost) ด้วยการเปลี่ยนการเชื่อมโยงเครือข่ายระหว่างผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP) แบบ peering มาเชื่อมต่อกับศูนย์แลกเปลี่ยนข้อมูลของบีบีไอเอ็กซ์ (ไทยแลนด์)

โดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย ทำให้สามารถรองรับปริมาณการรับส่งข้อมูลปริมาณมหาศาลได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดค่าใช้จ่ายให้กับผู้ใช้ โดยทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูล ภาพ และเสียงได้สะดวก รวดเร็ว นำไปสู่การเปิดกว้างในการเลือกใช้บริการแลกเปลี่ยนข้อมูลได้อย่างเสรี ด้วยที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของไทยที่เป็นศูนย์กลางที่สำคัญ ด้วยกันนี้บีบีไอเอ็กซ์ มีแผนขยายต่อยอดบริการเพื่อเป็นศูนย์กลางในการแลกเปลี่ยนข้อมูลสำหรับอาเซียน โดยเริ่มต้นจากประเทศใกล้เคียง ได้แก่ ลาว เมียนมาร์ และกัมพูชาอีกด้วย

เกษตรอินทรีย์วิถีไทย

จังหวัดนครปฐม และ 18 จังหวัดภาคกลาง
จัดยิ่งใหญ่ งาน   มหกรรมเกษตรอินทรีย์
วิถีไทย 2561  ครั้งที่ 1

​จังหวัดนครปฐมร่วมกับ 18 จังหวัดภาคกลาง จัดงาน “มหกรรมเกษตรอินทรีย์ วิถีไทย 2561” ครั้งที่ 1 โดยมีพิธีเปิดงานวันที่ 3 สิงหาคม 2561 โดย นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ณ ลาน Exhibition Hall โซน C ชั้น 1 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพฯ



นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้จัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ ปี 2561 และยังกำหนดให้เกษตรอินทรีย์เป็นนโยบายเร่งด่วนที่ต้องการ ให้ทุกหน่วยงานร่วมดำเนินการขับเคลื่อนภายใต้ยุทธศาสตร์การพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ พ.ศ. 2560 ถึง 2564

เพื่อให้มีการบูรณาการกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการส่งเสริมทั้งกระบวนการผลิตรวมถึงการสนับสนุนให้เกิดความร่วมมือกับทุกภาคีเครือข่ายเพื่อขับเคลื่อนเกษตรอินทรีย์ให้ขยายตัวในเชิงพื้นที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ผู้บริโภคในประเทศสามารถเข้าถึงสินค้าเกษตรอินทรีย์ได้ง่ายขึ้น

​การจัดงาน “มหกรรมเกษตรอินทรีย์ วิถีไทย 2561” ครั้งที่ 1 ถือเป็นการจัดงาน ที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์และนโยบายของกระทรวงการเกษตรและสหกรณ์ ในด้านของการรวบรวมผลผลิตเกษตรอินทรีย์ และผลิตภัณฑ์แปรรูปจากเกษตรอินทรีย์ อาหารอินทรีย์ และท่องเที่ยวและบริการเกี่ยวกับอินทรีย์ ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานอินทรีย์ ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งอยู่ในขั้นเตรียมความพร้อมสู่เกษตรอินทรีย์ของเกษตรกร กลุ่มเกษตรกร และผู้ประกอบการ จาก 19 จังหวัดในภาคกลาง มาจัดแสดงและให้บริการ เพื่อเป็นการส่งเสริมและเพิ่มช่องตลาดให้กับเกษตรกรและผู้ประกอบ ได้มีช่องทางจำหน่ายสินค้าเกษตรอินทรีย์ พร้อมทั้ง เป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคที่จะได้บริโภคอาหารที่ปลอดจากสารเคมีทางหนึ่ง

​นอกจากนี้ ยังมีการถ่ายทอดความรู้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่เกี่ยวกับการทำเกษตรอินทรีย์ จากเกษตรกรผู้เชี่ยวชาญ นิทรรศการให้ความรู้ และคลินิกให้คำปรึกษาเกี่ยวกับเกษตรอินทรีย์ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกร และผู้ที่สนใจ ทั้งทางตรงและทางอ้อม อันจะส่งผลให้ประเทศไทยเกิดการรับรู้และสร้างความเข้าใจในการทำเกษตรอินทรีย์เพิ่มยิ่งขึ้น

​นายชาญนะ เอี่ยมแสง ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม กล่าวว่า ด้วยจังหวัดในกลุ่มภาคกลาง 19 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดชัยนาท จังหวัดนครนายก จังหวัดนนทบุรี จังหวัดปทุมธานี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดปราจีนบุรี จังหวัดเพชรบุรี จังหวัดราชบุรี จังหวัดลพบุรี จังหวัดสมุทรสงคราม จังหวัดสระแก้ว จังหวัดสระบุรี จังหวัดสิงห์บุรี จังหวัดสุพรรณบุรี จังหวัดอ่างทอง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จังหวัดสมุทรสาคร และจังหวัดนครปฐม ได้รับงบประมาณจากยุทธศาสตร์การพัฒนาภาคกลางให้จังหวัดนครปฐมดำเนินการจัดงาน เพื่อกระตุ้นให้ภาคกลางพัฒนาสู่ภูมิภาคที่มีอาหารและสินค้าเกษตรให้ทันสมัย เพื่อเป็นฐานการผลิตที่ได้มาตรฐานโลก และเป็นศูนย์กลางการผลิตอาหารของประเทศและสนับสนุนยุทธศาสตร์ การพัฒนาเกษตรอินทรีย์ของประเทศให้บรรลุเป้าหมายในการเพิ่มพื้นที่เกษตรกรรมยั่งยืน 5 ล้านไร่ ภายในปี 2564 จึงได้จัดงานมหกรรมเกษตรอินทรีย์วิถีไทย 2561 ครั้งที่ 1 โดยนำผลผลิตเกษตรอินทรีย์และบริการอินทรีย์จากเกษตรกร กลุ่มเกษตรกร และผู้ประกอบการ จาก 19 จังหวัดภาคกลาง มาจัดแสดงและจำหน่าย โดยแบ่งเป็น 4 โซน ได้แก่ 1) โซนมาตรฐานอินทรีย์ 2) โซนเตรียมความพร้อมสู่เกษตรอินทรีย์ 3) โซนท่องเที่ยวและบริการที่เกี่ยวข้องกับอินทรีย์ และ 4)โซนร้านอาหารอินทรีย์

 

​นอกจากนี้ยังจะได้เพลิดเพลินกับการแสดงศิลปะพื้นบ้านสุดตระการตา การเสวนาของผู้รู้ด้านเกษตรอินทรีย์ การสาธิตการทำอาหารอินทรีย์ รวมทั้งซื้อสินค้านาทีทอง ในส่วนของนิทรรศการให้ความรู้นั้น มีทั้งส่วนที่เป็นนิทรรศการมีชีวิตแสดงถึงผลสำเร็จของการส่งเสริมให้เกษตรกรทำการเกษตรแบบอินทรีย์ ตั้งแต่ต้นทาง กลางทางและปลายทาง ขณะเดียวกันยังมีส่วนบริการข้อมูลเกษตรอินทรีย์ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ข้อมูลผลิตภัณฑ์ด้านเกษตรอินทรีย์ และข้อมูลผู้ประกอบการที่เกี่ยวกับอินทรีย์ โซนให้ความรู้และคลินิกเกษตร ซึ่งจะคอยให้คำปรึกษา แนะนำ และความรู้ที่จำเป็นเกี่ยวกับเกษตรอินทรีย์จากหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง หากเกษตรกรหรือผู้ที่สนใจท่านใดมีปัญหาด้านการเกษตร สามารถปรึกษาที่โซนคลินิกเกษตรภายในงานได้

​สำหรับงาน “มหกรรมเกษตรอินทรีย์ วิถีไทย 2561” ครั้งที่ 1
ระหว่างวันที่ 3 – 5 สิงหาคมนี้ ตั้งแต่เวลา 10.00 -20.00 น
ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพฯ