Category Archives: เศรษฐกิจ

คุยกับ คุณพธู ณ สงขลา เปิดความสำเร็จผู้นำด้านการท่องเที่ยวเกาหลีใต้

Toptotravel ได้มีโอกาสพิเศษที่ได้พูดคุยกับ คุณพธู ณ สงขลา ผู้บริหาร True world Travel ผู้นำด้านการท่องเที่ยวเกาหลีใต้ เบื้องหลังความสำเร็จเกี่ยวกับความสำเร็จที่เกิดขึ้นช่วงเวลาต่อไปนี้เป็นช่วงเวลาแห่งการท่องเที่ยว หลายคนบอกว่าอยากไปท่องเที่ยวต่างประเทศ แน่นอน…

เกาหลีใต้เป็นจุดมุ่งหมายที่หลายคนใฝ่ฝันและวางแผนการท่องเที่ยวหรือหลายคนก็ไปมาแล้ว และหากต้องการเที่ยวที่ไม่ต้องวางแผนการเดินทางเอง ไม่ต้องหาที่พักเอง ไม่ต้องหาแหล่งเที่ยวเอง ไม่ต้องหาร้านอาหารเอง มีที่หนึ่งที่อยากแนะนำ และสิ่งที่ทำให้
สามารถจัดการทุกอย่างให้ได้ทั้งหมดคือ True World Travel บริษัททัวร์ที่เปิดมายาวนานมากกว่าสิบปี โดยผู้เชี่ยวชาญด้านการท่องเที่ยวในประเทศเกาหลีใต้ ล่าสุดเตือนภัยจากกรณีแก๊งค์คอลเซนเตอร์ระบาดหนัก ทำอย่างไรให้ป้องกันโดนมิจฉาชีพหลอกลวง และในอนาคตจะมีปัจจัยความเสี่ยงอะไรเข้ามากระทบบ้างหรือไม่ ทำให้เราต้องบริหารจัดการความเสี่ยงต่างๆ ไปพร้อมกับการพัฒนา แก้ไขปัญหา ทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว

สิบกว่าปีแห่งการก่อตั้ง ทิศทางรายได้จากการท่องเที่ยวเป็นอย่างไร
คุณพธู ณ สงขลา ผู้บริหาร True World Travel ผู้นำด้านการท่องเที่ยวเกาหลีใต้ เล่าให้ฟังว่า …เริ่มเดิมทีเป็นไกด์พาคนไทยเที่ยวเกาหลีใต้มาก่อน ในช่วงนั้นเราก็ได้เห็นวัฒนธรรมวิถีชีวิตความเป็นอยู่ ได้เห็นมุมมองแปลกๆ ได้เห็นเสน่ห์ของประเทศเกาหลีใต้ ทำให้หลงเสน่ห์เกาหลีใต้ อีกทั้งเรารู้ว่าลูกทัวร์ต้องการอะไร เรามีพาร์ทเนอร์เป็นชาวเกาหลีใต้ที่เชี่ยวชาญในประเทศเกาหลีใต้ จึงจับมือกันกับแลนด์ โอปะเรชั่น ตั้งบริษัท ทรู เวิลด์ ทราเวล ขึ้นมา ก่อตั้งตั้งแต่ปี 2555
โดยเราจัดให้คนไทยไปเมืองที่นิยมไปเที่ยว กรุงโซล เมืองหลวงของเกาหลีใต้ มหานครปูซาน เมืองท่าอันดับหนึ่งของเกาหลี รวมถึงเกาะมรดกโลกอย่างเกาะเจจู ดินแดนที่ใครไปก็หลงเสน่ห์ เพราะคือธรรมชาติที่แท้จริง หาได้ยากมาก

แหล่งเที่ยวในกรุงโซล สามารถรักษาอันดับการเติบโตในเชิงรายได้มากน้อยเพียงใดกรุงโซล ส่วนใหญ่เน้นช้อปปิ้ง แฟชั่น ความงาม แต่มีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอื่น ๆ อยู่ และตอนนี้เราจัดแพคเกจที่ไม่เหมือนใคร และทำขึ้นครั้งแรกกระแสตอบรับดีมาก โดยการเที่ยวกับทัวร์กึ่งเที่ยวด้วยตัวเอง โดยวันแรกมีไกด์ให้บริการและพาเที่ยว โดยที่เที่ยวที่พาไปก็เป็นแหล่งเที่ยวที่คนนิยมไปเช็คอินกันเช่น ห้องสมุด Starfield Library สายมูต้องไป พาไปไหว้พระที่ วัดพงอึนซา วัดเก่าแก่เป็นพันปี พาไปถ่ายรูปที่คลองชองกเยซอน หนึ่งในสัญญลักษณ์ของเกาหลีใต้และโรงแรมที่พักแน่นอนเราอยากให้คนไปเที่ยวเกาหลีในแบบที่ท่องเที่ยวเองสะดวก จึงเลือกโรงแรมที่คนไทยรู้จักกันดี นั่นคือย่านเมียงดง ทงแดมุน
เมื่อลงจากโรงแรมเดินไปช้อปปิ้งได้เลย และวันสุดท้ายก็ไม่ต้องกังวล ไกด์จะมารับที่โรงแรมสัมภาระเยอะขนาดไหนก็สามารถนำขึ้นรถบัสเพื่อเดินทางไปยังสนามบินได้อย่างสะดวกสบาย เราให้คนไทยได้ไปเที่ยวกันจ่ายไม่ถึง 10,000 บาท 4 วัน 2 คืน รวมที่พัก 2 คืน ตั๋วเครื่องบิน พาเดินทางท่องเที่ยว
หรือจะท่องเที่ยวในแพคเกจแบบเดินทางกับไกด์และเที่ยวด้วยตัวเอง ก็ได้ทั้งสองแบบ เราพยายามตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในยุคสมัยนี้ให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้”

ปูซาน – โพฮัง
สำหรับเมืองที่กระแสเริ่มมาแรง อีกเมืองหนึ่งของประเทศเกาหลีใต้ คือ “มหานครปูซาน” ผู้บริหาร ทรู เวิลด์ ทราเวล เผยว่า “….เพราะเป็นเมืองทะเล เมืองของกินอร่อย ถ่ายรูปสวย และแพคเกจเมืองปูซาน นอกจากปูซานแล้วยังพาไปเที่ยวเมืองโพฮัง เมืองที่ไปถ่ายทำซีรีส์ เรื่อง Hometown Cha Cha ซึ่งดังมากๆ หลายคนอยากตามรอยหัวหน้าฮง ได้ถ่ายรูป ได้ไปคาเฟ่พร้อมกับไปเช็คอินที่เที่ยวที่ใหม่ล่าสุด สะพาน Space walk เราให้ลูกค้าได้นอนที่โรงแรมติดชายหาดแฮอุนแด สองคืน นอกจากเห็นวิวทะเลแล้ว ยังเดินไป walking street , food street แหล่งแฮงค์เอาท์ที่ขึ้นชื่อ และไม่พลาดพาไปยังย่านช้อปปิ้ง ย่านนัมโพดง ที่เขาเรียกว่า เมียงดงแห่งปูซาน และตรงข้ามยังมีตลาดปลาที่ใหญ่ที่สุดในประเทศเกาหลีใต้ รถไฟปุ๊กปิ๊ก ซึ่งตอนนี้เขาบอกว่าถ้าไปจองเองค่อนข้างยากมากๆ ส่วนใหญ่คนที่ไปเที่ยวเองไม่ได้ขึ้น แต่ ทรู เวิลด์ สามารถทำได้
ล่าสุด ทางทรู เวิลด์ ทราเวล จัดแพคเกจท่องเที่ยว นอกจากกรุงเทพฯไปปูซานแล้ว ยังมีบินจากเชียงใหม่ไปปูซานด้วย 4 วัน 2 คืน สามารถเช็คได้ทางช่องทางการติดต่อของบริษัทฯ

เกาะเจจู
และถ้าจะไม่พูดถึงผลงานชิ้นโบว์แดงของ ทรู เวิลด์ ทราเวล คงจะไม่ได้ นั่นคือการพานักท่องเที่ยวชาวไทยบินตรงสู่เมืองมรดกโลก เกาะเจจู
ผู้บริหาร ทรู เวิลด์ ทราเวล ได้เล่าต่อว่า “….เกาะเจจู นอกจากได้เป็นเมืองมรดกโลกแล้ว ยังติด 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก เราก็รู้สึกว่าเกาะเจจูน่าเที่ยวมาก อยากให้คนไทยได้ไปสัมผัส เหมือนกับที่เราได้ไปแล้วเราตกหลุมรักที่นี่ จึงเริ่มตัดสินใจเช่าเหมาลำเครื่องบิน บินตรงจากกรุงเทพฯ สู่เกาะเจจูเลย โดยสายการบินเจจูแอร์ โดยไม่ต้องไปรวมกับสายการบินอื่นหรือลงที่กรุงโซลก่อน เพราะไฟล์ทปกติไม่มีบินตรงจากกรุงเทพฯ สู่เจจู ถ้าเราไม่ทำทุกท่านก็ไม่สามารถไปลงเกาะเจจูได้ เพราะไม่มีไฟล์ทบิน เกาะเจจูมีเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งคือ ถ้าเราไปสถานที่หนึ่งในช่วงเวลาหนึ่งและกลับไปยังสถานที่เดิมในอีกเวลาหนึ่งบรรยากาศจะแตกต่างกันมาก จะไม่เหมือนกันเลย เช่นการขึ้นภูเขาฮัลลาซาน ซึ่งเป็นภูเขาที่เป็นต้นกำเนิดของเกาะเจจู สูงที่สุดในประเทศเกาหลีใต้ ไปฤดู Autumm ต้นไม้เปลี่ยนสี ใบไม้เปลี่ยนสี ทั้งภูเขา เมื่อไปช่วง Winter จะเปลี่ยนเป็นสีขาวเพราะหิมะปกคลุมทั้งภูเขา สวยงามมาก กลายเป็นว่าลูกค้าสามารถเที่ยวเกาะเจจูได้ทุกฤดูไม่เบื่อเลย”

สุด “ว้าว…เที่ยวทีเดียวสามเมือง”
และสำหรับคนที่ต้องการเดินทางแบบสองเมือง ทางบริษัท ฯ ก็ตอบโจทย์เช่นกัน “… แพคเกจใหม่ที่เราเพิ่งออกมาใหม่ คนไทยชอบเที่ยวกรุงโซลและปูซานด้วย จึงคิดว่าทำอย่างไรให้เชื่อมต่อกันถึงกันได้ เรามองถึงรถไฟความเร็วสูง KTX เราอยากให้คนไทยได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่ จึงออกแบบการท่องเที่ยวออกมาให้พักโซลสองคืนและปูซาลสองคืน และถ้าไปเจจู ปูซาน เราก็มี บินตรงไปเกาะเจจู ลูกค้าได้ไปเที่ยวธรรมชาติ ได้ทานหมูดำ อยากไปปูซานต่อเราก็จัดให้รวมตั๋วเครื่องบินภายในประเทศและพาไปเที่ยวโพฮังด้วย เราเรียกโปรแกรมนี้ว่า” ว้าว เที่ยวทีเดียวสามเมือง” คือ เจจู ปูซาน โพฮัง พร้อมเผยแผนและมอบโปรแกรมทัวร์สุดพิเศษส่งมอบให้คนไทย ส่วนโปรเด็ดๆ ของเดือนสิงหาคม ตอนนี้คือ 1 แถม 1 จ่ายคนเดียวเที่ยวได้สองคน เที่ยวแบบประทับใจ ไม่จกตา ตรงปกแน่นอน สามารถสอบถามได้ทุกช่องทางของการติดต่อของบริษัท”

ล่าสุดอยากเตือนภัยจากแก๊งคอลเซนเตอร์
ปัญหา-อุปสรรคทางด้านการจองทัวร์ท่องเที่ยวและที่สำคัญ ที่ผ่านมามีแก๊งค์คอลเซนเตอร์ได้เข้ามาหลอกล่อนักท่องเที่ยวในการจองห้องพัก และอื่นๆ ทำให้นอกจากจะไม่ได้เดินทางแล้ว ยังต้องสูญเสียเงินอีกเป็นจำนวนหลายราย ทางผู้บริหาร ทรู เวิลด์ ทราเวล ได้กล่าวถึงกรณีนี้ว่า “ระวังเรื่องแก๊งค์คอลเซนเตอร์ อย่าหลงเชื่อ หรือรีบตัดสินใจคล้อยตาม หากมีการขายทัวร์ในราคาที่ต่ำกว่าโปรโมชั่นของบริษัท และยิ่งถ้ารบเร้าให้รีบโอนเงินไปบัญชีบุคคลธรรมดายิ่งอันตราย ควรระวังหากมีคนที่โทรหรือทักหาเรา จากเบอร์ส่วนตัวหรือไลน์ส่วนตัว ปกติทางทรู เวิลด์ ให้แอดมินและเซลล์ทุกคนติดต่อกับลูกค้าผ่านช่องทางของบริษัท ไลน์แอดบริษัท รวมถึงเบอร์ออฟฟิศ และเบอร์มือถือของออฟฟิศเท่านั้น ซึ่งตรวจสอบเบอร์และช่องทางการติดต่อได้ที่หน้าเพจ และการจองทัวร์ทุกครั้ง เราจะมีการออกอินวอยเรียกเก็บ ซึ่งจะมีเลข booking มีรายละเอียดชื่อโปรแกรม วันเดินทาง ยอดเงินที่ต้องชำระ และเลขบัญชีอบริษัท “ทรู เวิลด์ ทราเวล” เท่านั้น ระวังอย่าโอนเงินเข้าบัญชีบุคคลเพราะนั่นคือมิจฉาชีพแน่นอน”

มุมมองความร่วมมือกับพันธมิตรอย่างไร
และแน่นอนว่าจากกระแสความนิยม….การท่องเที่ยวถือเป็นส่วนหนึ่งของการเพิ่มพลังบวกที่ให้ความสุขกับผู้ที่เดินทาง ไม่ว่าจะเดินทางที่ใด และสำหรับผู้ที่ต้องการเดินทางไปกับทัวร์แบบคุณไม่ต้องกังวล เรื่องของการหาที่พัก หาตั๋วเครื่องบิน การที่ต้องจ่ายเพิ่มกับกิจกรรมประจำวันต่าง ๆ หากเดินทางด้วยตัวเองหรือหากต้องการเที่ยวด้วยตัวเองบ้างในบางวัน เขาก็มีแพคเกจให้เลือก แบบเที่ยวกับทัวร์ผสมผสานกับเที่ยวด้วยตัวเอง เรียกว่าตอบโจทย์ในความต้องการของผู้เดินทางอย่างแท้จริง เพราะการดูแลลูกค้า เราเน้นเรื่องของบริการหลังการขาย และความสะดวกรวดเร็วในการรับจองผ่านช่องทางออนไลน์ ส่งผลให้เราได้รับการตอบรับที่ดีขึ้น ด้วยปัจจัยบวกเหล่านี้ เราเชื่อว่าตลาดจะเติบโต โดยในมุมของ True World Travel

อีกมุมหนึ่งนั่นคือเรื่องของความรู้ความเข้าใจ การเลือกสรรบริษัททัวร์ ที่จะเดินทางก็ถือเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญที่เราต้องพิจารณา ซึ่งทรู เวิลด์ ทราเวล ถือเป็นหนึ่งในบริษัททัวร์ชั้นนำที่มีผู้เชี่ยวชาญในประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งการันตีได้ถึงความน่าเชื่อถือของบริษัทฯ ที่มีมากกว่าสิบปี ดังสโลแกนของบริษัทที่ว่า 3 ดี นั่นคือ “เที่ยวดี พักดี และราคาถูกดี” คุณพธู ณ สงขลา ผู้บริหาร True world
Travel ให้สัมภาษณ์ทิ้งท้าย

สามารถสอบถามข้อมูลต่างๆ ได้ที่ ทรู เวิลด์ ทราเวล
Line : @gotrueworld , Facebook : True World Travel
Website : gotrueworld.com โทร 02-2121-037, 02-115-0037 กด2 (จ-ศ)
098-827-7522, 062-308-7522, (ทุกวัน)
061-273-7522, 065-502-7522 (ทุกวัน)

“ตามรอยพ่อฯ” แจงผลสัมฤทธิ์การดำเนินงานตลอด 9 ปี สร้างการรับรู้ดีเกินคาด
ก่อให้เกิดการตื่นตัวทุกวงการ ย้ำศาสตร์พระราชาและภูมิปัญญาท้องถิ่น แก้วิกฤตได้อย่างยั่งยืน


เครือข่ายคนมีใจทั้งในและนอกลุ่มน้ำป่าสักเข้าร่วมงานพร้อมออกร้านผลผลิต ณ สวนล้อมศรีรินทร์ พื้นที่ร่วมโครงการปีแรก
โครงการ “พลังคนสร้างสรรค์โลก รวมพลังตามรอยพ่อของแผ่นดิน” (ตามรอยพ่อฯ) จัดงานสรุปผลความสำเร็จหลังดำเนินงานมาครบ 9 ปี โดยเริ่มดำเนินงานตั้งแต่ปี พ.ศ. 2556 – 2564 และมีผลการดำเนินงานดีเกินคาด ทั้งด้านการสร้างคนมีใจ เครือข่าย และศูนย์การเรียนรู้ที่เป็นไปตามเป้าหมาย และกิจกรรมเอามื้อสามัคคีหรือการลงแขกในพื้นที่ตัวอย่างความสำเร็จนั้นได้รับความสนใจจากประชาชนกลุ่มเป้าหมายอย่างมาก ทำให้แนวคิดในการนำศาสตร์พระราชาและภูมิปัญญาท้องถิ่นไปลงมือปฏิบัติแผ่ขยายแตกตัวไปทั่วทั้ง 22 ลุ่มน้ำในประเทศ เกิดการรับรู้และกระแสความตื่นตัวที่ทำให้ทุกภาคส่วนลุกขึ้นมาขับเคลื่อนพร้อมกัน รวมถึงเกิดแรงกระเพื่อมสู่การเปลี่ยนเชิงนโยบาย

ทั้งนี้ งานสรุปผลดังกล่าวจัดขึ้น ณ ศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงสวนล้อมศรีรินทร์ จ.สระบุรี พื้นที่ของคนมีใจที่ร่วมกิจกรรมโครงการตั้งแต่ปีแรก โดยเครือข่ายจากทั้งในและนอกลุ่มน้ำป่าสักเข้าร่วมงานและนำผลผลิตทางการเกษตรและผลิตภัณฑ์แปรรูปร่วมออกร้าน พร้อมจัดกิจกรรมอบรมหลักการออกแบบโคก หนอง นา และฐานการเรียนรู้ต่าง ๆ นอกจากนี้ ตัวแทนเครือข่ายคนมีใจ 9 คน 9 ปี ขึ้นเวทีร่วมเสวนา เพื่อยืนยันว่าศาสตร์พระราชาและภูมิปัญญาท้องถิ่นแก้วิกฤตได้จริง พร้อมตอกย้ำความมุ่งมั่นในการส่งต่อองค์ความรู้และแรงบันดาลใจแก่คนรุ่นใหม่ต่อไป

ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร นายกสมาคมดินโลก ผู้ก่อตั้งมูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ

ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร นายกสมาคมดินโลก ผู้ก่อตั้งมูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ กล่าวว่า “จากพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เมื่อวันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2556 ณ อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช ที่ทรงแสดงความห่วงใยต่อปัญหาภัยแล้งและปัญหาอุทกภัยบริเวณลุ่มน้ำป่าสัก ก่อเกิดเป็นแรงบันดาลใจให้โครงการ “พลังคนสร้างสรรค์โลก รวมพลังตามรอยพ่อของแผ่นดิน” กำเนิดขึ้นในปี พ.ศ. 2556 ด้วยความร่วมมือระหว่าง บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด สถาบันเศรษฐกิจพอเพียง มูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ และ 7 ภาคีเครือข่าย ได้แก่ ภาครัฐ ภาควิชาการ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ภาคประชาชน ภาคศาสนา และสื่อมวลชน โดยได้น้อมนำองค์ความรู้ศาสตร์พระราชาและภูมิปัญญาท้องถิ่น ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่สู่การปฏิบัติ เป้าหมายเพื่อหยุดท่วม หยุดแล้งในลุ่มน้ำป่าสักอย่างยั่งยืน จนสามารถสร้างรูปธรรมตัวอย่างความสำเร็จและการขยายผลครอบคลุม 22 ลุ่มน้ำทั่วประเทศ โดยการดำเนินงานเริ่มจากการสร้างพื้นที่ต้นแบบ รวมทั้งบุคคล ชุมชน และโรงเรียนต้นแบบ แล้วจึงขยายผลออกไปสู่ลุ่มน้ำอื่น ทั่วประเทศ”
ทั้งนี้ โครงการมีกรอบการดำเนินงาน 9 ปี แบ่งเป็น 3 ระยะ ๆ ละ 3 ปี โดยระยะที่ 1 พ.ศ. 2556 – 2558 คือ ระยะตอกเสาเข็ม เป็นการสร้างการรับรู้ และสร้างตัวอย่างความสำเร็จหลากรูปแบบทั้ง บุคคล ชุมชน โรงเรียน และสร้างศูนย์เรียนรู้ สรุปการดำเนินกิจกรรมในระยะที่ 1 สร้างการรับรู้ด้วยการเดินทางวิ่ง-เดิน-ปั่น กว่า 900 กิโลเมตร ในพื้นที่ 5 จังหวัด มีอาสาสมัครและคนมีใจร่วมกิจกรรมกว่า 8,000 คน
• ปีที่ 1 พ.ศ. 2556 เป็นกิจกรรมเดิน วิ่ง ปั่นรณรงค์ ”จากปลายน้ำสู่กลางน้ำ สร้างหลุมขนมครกในแบบโคก หนอง นา โมเดล หยุดท่วมหยุดแล้งอย่างยั่งยืน” จากกรุงเทพฯ ถึง จ.พระนครศรีอยุธยาและ จ.สระบุรี
• ปีที่ 2 พ.ศ. 2557 กิจกรรม ”สร้างหลุมขนมครก เปลี่ยนเขาหัวโล้นเป็นเขาหัวจุก” ที่ จ.เพชรบูรณ์
• ปีที่ 3 พ.ศ. 2558 กิจกรรม ”สร้างหลุมขนมครก ในแบบของคุณ” ที่ จ.ลพบุรีและ จ.เพชรบูรณ์
กรอบการดำเนินงานในระยะที่ 2 พ.ศ. 2559 – 2561 คือ ระยะแตกตัว เป้าหมายเป็นการขยายผลในระดับทวีคูณ สร้างคน สร้างครู สร้างเครื่องมือในการยกระดับศูนย์เรียนรู้สู่การศึกษาตลอดชีวิต (บ้าน วัด โรงเรียน หรือ บวร) สรุปการดำเนินกิจกรรมในระยะที่ 2 สร้างพื้นที่ต้นแบบ 8 แห่งใน 8 จังหวัด สร้างการมีส่วนร่วมของคนมีใจที่ร่วมกิจกรรมกว่า 10,000 คน และเกิดศูนย์การเรียนรู้ 11 แห่งใน 7 จังหวัด
• ปีที่ 4 พ.ศ. 2559 คือ การสร้างหลุมขนมครก ”ป่าสักโมเดล” ในพื้นที่ “ห้วยกระแทก” ของหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ จ.ลพบุรี ให้เป็นศูนย์เรียนรู้ต้นแบบ ซึ่งเป็นหลุมขนมครกขนาดพื้นที่ 600 ไร่ และเป็นหลุมขนมครกที่ใหญ่ที่สุดที่เกิดจากการรณรงค์ของโครงการ
• ปีที่ 5 พ.ศ. 2560 ”แตกตัวทั่วไทย เอามื้อสามัคคี” ในสภาพภูมิสังคมที่แตกต่าง โดยร่วมสร้าง ”เพลิน area” ที่แปลงเกษตรสาธิต คณะเทคโนโลยีการเกษตร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร, สร้างพื้นที่เรียนรู้ตามรอยศาสตร์พระราชาที่ไร่สุขกลางใจ จ.ราชบุรี, สร้างต้นแบบจากชาวบ้านสู่ความร่วมมือ 7 ภาคี ด้วยพลังเอามื้อสามัคคี โดยการรวมกลุ่มของชาวบ้านคริสตจักรนาเรียง จ.อุดรธานี และสร้างพื้นที่ต้นแบบหลุมขนมครกบนพื้นที่สูง “คนอยู่ ป่ายัง อย่างยั่งยืน” ที่ห้วยป่ากล้วย และศูนย์ปฏิบัติการเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริ (บวร.) วัดพระบรมธาตุดอยผาส้ม อ.สะเมิง จ.เชียงใหม่
• ปีที่ 6 พ.ศ. 2561 “แตกตัวทั่วไทย เอามื้อสามัคคี“ จากลุ่มน้ำป่าสักสู่ลุ่มน้ำอื่น ๆ สร้างศูนย์เรียนรู้ศาสตร์พระราชากลางเมืองหลวง ที่ฐานธรรมพระรามเก้า กรุงเทพมหานคร สร้างหลุมขนมครกและเรียนรู้การทำสวนเกษตรอินทรีย์ ที่ จ.จันทบุรี ร่วมสร้าง “หมู่บ้านสุขสมบูรณ์ ชุมชนกสิกรรมวิถี” จ.สระบุรี และร่วมสร้างพื้นที่เรียนรู้ หลุมขนมครกบนพื้นที่สูง เปลี่ยนผู้บุกรุกมาเป็นผู้พิทักษ์ ที่ จ.น่าน
สุดท้ายกรอบการดำเนินงานในระยะที่ 3 พ.ศ. 2562 – 2564 คือ การขยายผลเชื่อมโยงทั้งระบบ เป้าหมายเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบาย มี 7 ภาคีระดับชาติเข้าร่วม ได้แก่ ภาครัฐ วิชาการ เอกชน ประชาสังคม ประชาชน ศาสนา และสื่อมวลชน เพื่อยกระดับสู่การแข่งขัน วางรากฐานการพัฒนามนุษย์ การฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติลุ่มน้ำ เชื่อมโยงทั้ง 22 ลุ่มน้ำทั่วประเทศ
• ปีที่ 7 พ.ศ. 2562 จัดกิจกรรมขึ้นภายใต้แนวคิด “แตกตัวทั่วไทย สานพลังสามัคคี” จากต้นน้ำป่าสักสู่การสร้างแม่ทัพแห่งลุ่มน้ำ โดยจัดกิจกรรมเอามื้อสามัคคีที่ จ.เลย ซึ่งเป็นต้นกำเนิดแม่น้ำป่าสัก และกิจกรรมทัศนศึกษาที่ จ.ลำปาง เป็นพื้นที่ที่เชฟรอนประเทศไทยร่วมกับศูนย์บูรณาการเทคโนโลยีเพื่อการแก้ไขปัญหาประเทศ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง หรือ สจล. และภาคีเครือข่าย ร่วมกันจัดทำโครงการวิจัย “การออกแบบเชิงภูมิสังคมไทย การติดตามและประเมินผลเพื่อบริหารจัดการน้ำชุมชนอย่างมีส่วนร่วม” เพื่อจัดเก็บข้อมูลที่ได้มีการออกแบบและปรับปรุงพัฒนาพื้นที่ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่ไปแล้ว ให้เป็นระบบและได้มาตรฐานทางวิชาการ โดยนำผลสรุปจากโครงการวิจัยมาประมวลผลในมิติต่าง ๆ ทั้งมิติทางเศรษฐกิจ มิติทางสังคม และมิติทางสภาพแวดล้อม
• ปีที่ 8 พ.ศ. 2563 “แตกตัวทั่วไทย สานพลังสามัคคี” จัดกิจกรรมเอามื้อสามัคคีเพื่อฟื้นฟูและปกป้องพื้นที่ป่าต้นน้ำแจ่ม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของลุ่มน้ำปิง จ.เชียงใหม่ กิจกรรม “สู้ทุกวิกฤต รอดพอดีด้วยศาสตร์พระราชา” การฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการหลักสูตรการป้องกัน เตือนภัย และฟื้นฟูชุมชนในภาวะวิกฤต หรือ CMS (Crisis Management Survival Camp) เพื่อสร้างความรู้ความตระหนักแก่ประชาชนในการเตรียมความพร้อมรับมือกับน้ำท่วม น้ำแล้ง โรคระบาด และสถานการณ์ฉุกเฉิน ณ ศูนย์เรียนรู้ศาสตร์พระราชาคืนป่าสัก โรงเรียนสงครามพิเศษ และศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงชุมชน หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ (วัดใหม่เอราวัณ) จ.ลพบุรี และสร้าง “โคก หนอง นา ชัยภูมิโมเดล” ที่ศูนย์ปราชญ์ศาสตร์พอเพียง บอกเล่าก้าวตาม จ.ชัยภูมิ
• ปีที่ 9 พ.ศ. 2564 “9 ปีแห่งพลังสามัคคี ฟันฝ่าทุกวิกฤต สู่ทางรอดที่ยั่งยืน” มีทั้งแคมเปญ “รวมพลังสู้โควิด-19” กิจกรรมช่วยน้ำท่วมที่ จ.สระบุรี และกิจกรรมเอามื้อสามัคคีแปลง “เสงี่ยมคำกสิกรรมวิถี” ที่ จ.นครราชสีมา และแปลง “โคกหนองนา โปรดปัน” จ.พระนครศรีอยุธยา รวมถึงการสร้างแหล่งความรู้และเครือข่ายสังคมออนไลน์เพื่อเป็นการเผยแพร่ข้อมูลความรู้ให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของคนไทยที่เปลี่ยนไปในยุคดิจิทัล
สรุปผลสำเร็จของการดำเนินงานโครงการตามรอยพ่อฯ 9 ปี ด้วยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนได้ดังนี้
• การ “สร้างคน” มีผู้เข้าอบรมและดูงานในศูนย์ฯ ของเครือข่ายกสิกรรมธรรมชาติตลอดระยะเวลาของการดำเนินงานโครงการ พื้นที่เครือข่ายลุ่มน้ำป่าสัก 489,984 คน พื้นที่เครือข่ายลุ่มน้ำอื่น ๆ 826,280 คน รวมทั้งสิ้น 1,316,264 คน
• การ “สร้างครู” สร้างวิทยากร และครูพาทำในเครือข่ายกสิกรรมธรรมชาติ ในลุ่มน้ำป่าสักรวม 124 คน นอกลุ่มน้ำป่าสัก 9 คน รวมทั้งสิ้น 133 คน
• การ “สร้างศูนย์เรียนรู้” มีศูนย์เรียนรู้ที่เกิดจากโครงการ 11 แห่ง อยู่ในลุ่มน้ำป่าสัก 8 แห่ง และนอกลุ่มน้ำ ป่าสัก 3 แห่ง ได้แก่ ศูนย์เรียนรู้ศาสตร์พระราชาคืนป่าสัก จ.ลพบุรี, ศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงชุมชน หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ (ห้วยกระแทก) “ป่าสักโมเดล” จ.ลพบุรี, บ้านพึ่งพาตนเอง “ฟากนา ฟาร์มสเตย์” จ.เลย, ศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงสวนล้อมศรีรินทร์ จ.สระบุรี, ศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง ค่ายอดิศร จ.สระบุรี, ศูนย์การเรียนรู้โคกหนองนาโมเดล หรือ ศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงพึ่งตนเองเอาชนะยาเสพติด จ.สระบุรี, ศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง ค่ายพ่อขุนผาเมือง จ.เพชรบูรณ์, ศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงชุมชน หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ วัดใหม่เอราวัณ จ.ลพบุรี, ศูนย์กสิกรรมธรรมชาติบ้านพะกอยวา จ.ตาก, ศูนย์กสิกรรมธรรมชาติมาตรฐานอินทรีย์วิถีไทยคริสตจักรนาเรียง จ.อุดรธานี, และศูนย์กสิกรรมธรรมชาติสุรินทร์ จ.สุรินทร์
ทั้งนี้ ศูนย์เรียนรู้ดูงานทั้งหมดของเครือข่ายกสิกรรมธรรมชาติทั่วประเทศมีอยู่ในพื้นที่ลุ่มน้ำป่าสัก 12 แห่ง และพื้นที่ลุ่มน้ำอื่น ๆ 58 แห่ง รวม 70 แห่ง

https://www.youtube.com/watch?v=M8EWjY1ncGk

ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร กล่าวเสริมว่า “จะเห็นได้ว่าการดำเนินโครงการประสบผลสำเร็จอย่างดีทั้งในแง่ปริมาณในการสร้างคน สร้างครู สร้างศูนย์เรียนรู้ ส่วนสัมฤทธิผลในเชิงคุณภาพนั้นได้ผลดีเกินคาด การแตกตัวขยายผลครอบคลุมลุ่มน้ำทั่วประเทศ สร้างแรงกระเพื่อมที่ทำให้ทุกภาคส่วนลุกขึ้นมาขับเคลื่อนพร้อมกันจนเกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบาย เริ่มจากการสั่งการจากผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้นให้ดำเนินการอบรมให้ความรู้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง การจัดตั้งศูนย์เรียนรู้ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และการเปิดศูนย์การเรียนรู้ฯ ภายในหน่วยทหาร และยังมีโครงการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักเกษตรทฤษฎีใหม่ประยุกต์สู่ ‘โคก หนอง นา โมเดล’ กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย นอกจากนี้ โรงเรียนปูทะเลย์มหาวิชชาลัย โรงเรียนบ้านโป่งเกตุ และโรงเรียนละหานทรายรัชดาภิเษก ซึ่งเป็นโรงเรียนในเครือข่ายกสิกรรมธรรมชาติได้รับการคัดเลือกให้เป็นโรงเรียนต้นแบบในโครงการอารยเกษตร สืบสาน รักษา ต่อยอดตามแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียง ‘โคก หนอง นา แห่งน้ำใจและความหวัง’ ของกระทรวงศึกษาธิการอีกด้วย

“จากการดำเนินอย่างต่อเนื่อง 9 ปีของโครงการ ‘ตามรอยพ่อฯ’ ได้พิสูจน์ให้เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า การนำศาสตร์พระราชาตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่ มาประยุกต์ใช้ด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่นอย่างเหมาะสม จะสามารถแก้ปัญหาทุกวิกฤตได้อย่างยั่งยืน” ดร.วิวัฒน์กล่าวสรุป

นายอาทิตย์ กริชพิพรรธ ผู้จัดการใหญ่ฝ่ายสนับสนุนธุรกิจ บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด กล่าวถึงการสรุปผลความสำเร็จว่า “เชฟรอนประเทศไทยได้ร่วมจัดทำโครงการมาตลอดระยะเวลา 9 ปี โดยที่ผ่านมาเราได้เห็นผลทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพว่าโครงการได้เข้าไปช่วยในการให้ความรู้ สร้างตัวอย่าง และสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนเป็นล้าน ๆ ทั่วประเทศ ทั้งในด้านการอนุรักษ์และอยู่ร่วมกับป่า การนำศาสตร์พระราชาและภูมิปัญญาท้องถิ่นมาปรับใช้เพื่อการพึ่งพาตนเองได้ และยังสร้างแหล่งการเรียนรู้ที่ยั่งยืน ทั้งผ่านการสร้างศูนย์เรียนรู้ 11 แห่งใน 7 จังหวัด รวมถึงการสร้างศูนย์กลางการแบ่งปันความรู้แบบออนไลน์แก่ผู้ที่สนใจ

โดยเราได้สร้างเนื้อหาในสื่อออนไลน์มากมายที่เป็นประโยชน์ อาทิ การจัดทำบทเรียน ‘คู่มือสู่วิถีกสิกรรมธรรมชาติ’ ในรูปแบบบทความและวีดิทัศน์บอกเล่าเนื้อหาเกี่ยวกับศาสตร์พระราชาและปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ครอบคลุมทั้งภาคทฤษฏีและปฏิบัติ รวม 14 บท เพื่อให้ผู้สนใจสามารถนำองค์ความรู้ไปลงมือทำเองได้ และยังได้สร้างเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่มีผู้ติดตามกว่า 246,900 คน


เพื่อให้ผู้ที่สนใจสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับโครงการด้วยช่องทางสื่อสารต่าง ๆ ทั้งเวบไซต์ เฟซบุ๊ก อินสตาแกรม และไลน์
“พนักงานของเชฟรอนประเทศไทยเองกว่า 2 พันคน ก็ได้เข้าร่วมอบรมเรียนรู้ และร่วมกิจกรรมเอามื้อของโครงการอย่างต่อเนื่อง มีหลายคนที่นำองค์ความรู้ศาสตร์พระราชาไปลงมือทำที่บ้านเกิดเมื่อเกษียณจากการทำงานประจำ นับเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่งสำหรับองค์กรและพนักงานเชฟรอนที่ได้มีโอกาสเป็นส่วนหนึ่งในการน้อมนำองค์ความรู้ศาสตร์พระราชาและเกษตรทฤษฎีใหม่ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มารณรงค์ประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้แก่ประชาชนทั่วไป จนเกิดแรงบันดาลใจนำไปลงมือปฏิบัติ และได้ร่วมผลักดันขับเคลื่อนจนเกิดเป็นแรงกระเพื่อมอย่างมากมายในสังคมไทย” นายอาทิตย์กล่าวสรุป


นอกจากนี้ มาตรวัดความสำเร็จในเชิงคุณภาพที่สำคัญอีกประการ คือ การสร้างคนมีใจที่ตอบโจทย์ “ทฤษฎีบันได 9 ขั้นสู่ความพอเพียง” ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ระดับ คือ ระดับเศรษฐกิจพอเพียงขั้นพื้นฐาน คือ การมีความรู้คู่คุณธรรมและการใช้ชีวิตอย่างพอกิน พอใช้ พออยู่ พอร่มเย็น และระดับเศรษฐกิจพอเพียงขั้นก้าวหน้า คือ บุญ, ทาน มีเหลือกินเหลือใช้ก็แบ่งปัน, เก็บ รักษาเคล็ดลับวิชาภูมิปัญญา, ขาย, ข่าย (กองกำลังเกษตรโยธิน) ซึ่งเกิดเป็นตัวอย่างบุคคลผู้ประสบความสำเร็จตาม “ทฤษฎีบันได 9 ขั้นสู่ความพอเพียง” ที่มานะบากบั่นลงมือทำจนทำให้หยุดท่วมหยุดแล้งในพื้นที่ของตัวเอง เกิดการพึ่งพาตัวเองได้ หลุดพ้นจากความยากจน และรอดจากวิกฤตด้วยศาสตร์พระราชา ได้แก่ พิรัลรัตน์ สุขแพทย์ (ผู้ใหญ่อ้อย) ศูนย์เรียนรู้ศาสตร์พระราชาคืนป่าสัก จ.ลพบุรี, แสวง ศรีธรรมบุตร (ลุงแสวง) ศูนย์กสิกรรมธรรมชาติมาตรฐานอินทรีย์วิถีไทยคริสตจักรนาเรียง จ.อุดรธานี, กรองกาญจน์ ศิราไพบูลย์พร (ต๋อย), และประวีณ ศิราไพบูลย์พร (ติ่ง) 2 พี่น้องชาวปกาเกอะญอ แห่งไร่ไฮ่เฮา ไร่ติ่งตะวัน จ.ลำปาง เป็นต้น


ทั้งนี้ งานสรุปผลจัดขึ้น ณ ศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงสวนล้อมศรีรินทร์ จ.สระบุรี พื้นที่ของนายบุญล้อม เต้าแก้ว ที่ร่วมกิจกรรมโครงการตั้งแต่ปีแรก โดยนอกจากการออกร้านของเครือข่าย ยังมีกิจกรรมฝึกอบรมหลักการออกแบบโคก หนอง นา เบื้องต้น และฐานการเรียนรู้ 4 ฐาน ได้แก่ ฐานคนมีน้ำยา สอนทำน้ำยาอเนกประสงค์ แชมพู, ฐานคนรักษ์แม่ธรณี สอนทำปุ๋ยแห้ง ปุ๋ยน้ำ, ฐานเพาะเห็ดตะกร้า, ฐานเพาะผัก นอกจากนี้ ตัวแทนเครือข่ายคนมีใจ 9 คน 9 ปี ขึ้นเวทีร่วมเสวนา เพื่อยืนยันว่าศาสตร์พระราชาและภูมิปัญญาท้องถิ่นแก้ปัญหาทุกวิกฤตได้จริง โดยแต่ละท่านได้กล่าวถึงเปลี่ยนแปลง หลังจากร่วมโครงการ รวมทั้งความตั้งใจสานต่อองค์ความรู้ศาสตร์พระราชา ดังนี้

ศิลา ม่วงงาม (ครูศิลา) ประธานศูนย์เรียนรู้ชุมชน บ้านหินโง่น อ.หล่มเก่า จ.เพชรบูรณ์ ตัวแทนเครือข่ายคนมีใจ ปี 2 กล่าวว่า “จากเดิมที่มีการทำเกษตรแบบโคก หนอง นา แค่ 2 ราย ปัจจุบันมีคนทำเพิ่มขึ้นมากถึง 3-4 เท่าตัว สมัยก่อนเส้นทางระหว่างบ้านหินโง่นถึงบ้านสักง่า ระยะทาง 8 กิโลเมตรจะเต็มไปด้วยไร่ข้าวโพด แต่ปัจจุบันมีไม้ผลขึ้นเต็ม 2 ข้างทาง เช่น ทุเรียน เงาะ ส้มโอ เป็นต้น และชาวบ้านยังปลูกไม้ยืนต้นมากขึ้นด้วย นอกจากนี้ในปี พ.ศ. 2558 ผมได้จัดกิจกรรมทำฝายชะลอน้ำ 89 สายถวายพ่อ ที่ห้วยส้านซึ่งเป็นลำห้วยที่ไหลผ่านหมู่บ้านหินโง่น แล้วไหลลงแม่น้ำป่าสัก ซึ่งตอนนี้ห้วยนั้นมีความอุดมสมบูรณ์ดีมากเลย ผมมีความตั้งใจจะสืบสานศาสตร์พระราชาต่อไป เพราะได้เห็นประจักษ์แล้วว่า ศาสตร์พระราชาและภูมิปัญญาท้องถิ่นสามารถแก้ปัญหาทุกวิกฤตได้อย่างยั่งยืน”


พิรัลรัตน์ สุขแพทย์ (ผู้ใหญ่อ้อย) ผู้อำนวยการศูนย์เรียนรู้ศาสตร์พระราชาคืนป่าสัก ผู้ใหญ่บ้านชุมชนหมู่ 8 สามัคคี อ.เมือง จ.ลพบุรี ตัวแทนเครือข่ายคนมีใจ ปี 3 กล่าวว่า “รู้สึกภูมิใจมากที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการนี้ เพราะการดำเนินงานอย่างเป็นระบบและต่อเนื่องและการสนับสนุนอย่างจริงจังของโครงการ ทำให้การแตกตัวในการเผยแพร่องค์ความรู้ศาสตร์พระราชาและภูมิปัญญาท้องถิ่นเป็นไปได้อย่างรวดเร็วมาก ในการสืบสานศาสตร์พระราชาเรายังทำอย่างต่อเนื่อง โดยจะมีการรวบรวมเครือข่ายคนมีใจขับเคลื่อนเป็นระดับภาค และระดับประเทศต่อไป โดยจะทำแบบใกล้ชิดกว่าเดิม มีการประชุมวางแผนงานบ่อยขึ้น มีการลงพื้นที่ให้กำลังใจพี่น้องมากขึ้น มีการจัดทัพแบบกระชับองค์กร เพื่อเข้าถึงปัญหาและแก้ไขในทุกจุดอย่างรวดเร็ว มีการดึงคนที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาช่วยทำงานมากขึ้น เราจะสืบสานต่อไปให้รุ่น 2 รุ่น 3 เหมือนที่อาจารย์ยักษ์วางไว้ค่ะ”


บัณฑิต ฉิมชาติ (หัวหน้าฉิม) หัวหน้าอุทยานแห่งชาติศรีน่าน อ.เวียงสา จ.น่าน ตัวแทนเครือข่ายคนมีใจ ปี 6 กล่าวว่า “ตอนนี้ชาวบ้านมีข้าวกินทั้งหมู่บ้าน มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ผมกลายป็นเทวดาของชาวบ้านไปแล้ว ทุกครั้งที่เจอผู้เฒ่าผู้แก่ก็จะเข้ามากอด ผมดีใจและตื้นตันใจมากครับที่ช่วยแก้ปัญหาปากท้องให้พวกเขาได้ ชาวบ้านลดการปลูกข้าวโพดลงถึง 90 เปอร์เซ็นต์ ได้รับพื้นที่ป่าของอุทยานคืนมา 3,000 กว่าไร่ในเวลาเพียงแค่ 2 ปีเท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นมาก เมื่อก่อนชาวบ้านต้องเตรียมเงินไว้ปีละประมาณ 5,000 บาท เพื่อซื้อข้าวกิน แต่ปัจจุบันพื้นที่ทำกิน 3-5 ไร่ของพวกเขาก็สามารถหล่อเลี้ยงครอบครัวได้ มีข้าว มีปลา มีผักกิน ไม่ต้องเสียไปเงินซื้อ ชาวบ้านพึ่งพาตัวเองได้ เมื่อก่อนชาวบ้านต้องซื้อข้าวหัก ๆ กิน เดี๋ยวนี้ชาวบ้านปลูกข้าวพันธุ์ภูฟ้าซึ่งเป็นข้าวขาวที่สวยมากไว้กินเอง เหลือก็แบ่งปันกันในชุมชน ชาวบ้านหลุดพ้นจากความยากจนอดอยาก”


กรองกาญจน์ ศิราไพบูลย์พร (ต๋อย) เจ้าของพื้นที่ “ไร่ไฮ่เฮา” อ.งาว จ.ลำปางตัวแทนเครือข่ายคนมีใจ ปี 7 กล่าวว่า “ปัจจุบันพื้นที่บ้านแม่ฮ่าง จ.ลำปาง มีครัวเรือนที่หันมาทำโคก หนอง นา บนพื้นที่สูงเพิ่มขึ้นเป็น 30 กว่าแปลง ทำกันจริงจังมาก มีการเวียนกันเอามื้อทุก ๆ สัปดาห์อย่างต่อเนื่อง มีการทำแท็งก์น้ำในแต่ละจุดของแต่ละแปลง เพราะเป็นพื้นที่สูงการจัดการน้ำยาก ทุกแปลงจึงจำเป็นต้องมีแท็งก์น้ำเพื่อกักเก็บน้ำไว้เพื่อใช้ในชีวิตประจำวัน และเพื่อการเกษตร และตอนนี้ขยับมาทำพื้นที่ที่สุโขทัยด้วย ซึ่งจะเป็นการขยายผลสู่ลุ่มน้ำยม มีพื้นที่ประมาณ 10 ไร่ รู้สึกภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการตามรอยพ่อฯ ที่สร้างประโยชน์มาก มีการประชาสัมพันธ์และทำให้คนได้รับรู้ข้อมูล ข่าวสาร และคนที่สนใจสามารถเข้าถึงองค์ความรู้ศาสตร์พระราชาได้ง่ายขึ้น ที่สำคัญ คือ การได้เครือข่ายที่ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ เป็นแรงเสริมเป็นกำลังใจให้กันและกัน ส่วนตัวแล้วก็จะยังสืบสานงานของพ่อต่อไป ทั้งที่เป็นพื้นที่ของตัวเองและการร่วมเป็นเครือข่ายสนับสนุนและส่งต่อองค์ความรู้ศาสตร์พระราชา เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่ลงมือทำตามต่อไปเรื่อย ๆ ค่ะ”


ปราณี ชัยทวีพรสุข ประธานกรรมการศูนย์ปราชญ์ศาสตร์พอเพียง บอกเล่าก้าวตาม อ.เมือง จ.ชัยภูมิ เจ้าของ “สวนฝันสานสุข” บ้านเสี้ยวน้อยพัฒนา อ.เมือง จ.ชัยภูมิ ตัวแทนเครือข่ายคนมีใจ ปี 8 กล่าวว่า “หลังจากโครงการมาจัดกิจกรรมเอามื้อที่ศูนย์ปราชญ์ฯ ทำให้ปราชญ์ชาวบ้านในชัยภูมิเข้ามาร่วมเป็นเครือข่ายมากขึ้น จึงมีการค้นหาแกนนำที่เป็นจุดแข็งของแต่ละอำเภอ เพื่อเรียกคนที่มีใจเดียวกันมาร่วมขับเคลื่อนไปพร้อมกันทั้งทีมใหญ่และทีมเล็ก โดยที่ศูนย์ปราชญ์ฯ เองมีการวางแผนเอามื้อเดือนละครั้ง เครือข่ายก็จะไปปันแรงกัน ก่อนโควิด-19 ระบาดมีการจัดอบรมและดูงานอยู่เรื่อย ๆ รวมแล้วฝึกอบรมไปประมาณ 6 รุ่น จำนวน 500 กว่าคน ในช่วงโควิด-19 ระบาดได้ไปเป็นจิตอาสาทำหน้าที่พยาบาลสนาม ฉีดวัคซีน เลยถือโอกาสรวมพลังหมอศูนย์บาทของชัยภูมิ ต้มน้ำสมุนไพร 7 นางฟ้า สมุนไพรสุมยา แจกคนป่วยที่โรงพยาบาลสนามและที่ศูนย์สุขภาพชุมชน ตั้งใจจะสืบสานศาสตร์พระราชาต่อไป เพื่อพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าศาสตร์พระราชาแก้ปัญหาได้ทุกวิกฤตจริง พื้นที่ของตัวเองมี 18 ไร่ ทำโคก หนอง นา ไว้นานแล้ว มีต้นไม้เยอะ มีน้ำเหลือเฟือ ลูกชายเป็นคนรุ่นใหม่เคยบ่นว่าแม่อายุเยอะแล้วกลับมาเหนื่อยอะไรตรงนี้ แต่ต่อมาหลังจากเห็นความเปลี่ยนแปลงในพื้นที่ที่แม่ทำ ก็มากระซิบให้แม่ทำต่อไป ขอทำงานเก็บเงินซักพัก แล้วจะกลับมาสานต่อ ฟังแล้วชื่นใจมากเลยที่คนรุ่นใหม่เริ่มเห็นคุณค่าในสิ่งที่เราทำค่ะ”


สุณิตา เหวนอก (นวล) เจ้าของพื้นที่เสงี่ยมคำกสิกรรมวิถี อ.จักราช จ.นครราชสีมา ตัวแทนเครือข่ายคนมีใจ ปี 9 พ.ศ. กล่าวว่า “นวลเป็นคนบ้างานบ้าเรียน เวลาที่เหลือ คือ อยู่ในสวน เพราะอยากให้เห็นผลของการเปลี่ยนแปลงเร็ว ๆ เนื่องจากที่บ้านยังไม่เห็นด้วยอยู่ นวลจึงใช้วิธีสื่อสารผ่านโซเชียลมีเดีย ด้วยหวังว่าครอบครัวจะได้เห็นภาพ ซึ่งปรากฏว่าไม่ใช่เพียงครอบครัวที่เห็น แต่เพื่อนในโซเชียลก็ได้เห็นและเกิดแรงบันดาลใจลงมือทำตามกันหลายคน เครือข่ายในพื้นที่ใกล้เคียงก็มีการคุยกันในไลน์ ก็ขอมาดูพื้นที่เรา แล้วเกิดพลังใจกลับไปลงมือทำ เขาบอกว่าขนาดนวลเองเป็นคนมีเวลาน้อย ยังสามารถทำได้เลย รู้สึกภูมิใจที่ความตั้งใจของเรา เป็นแรงบันดาลใจให้อีกหลาย ๆ คน ลุกขึ้นมาทำตาม ในการสืบสานแนวคิดศาสตร์พระราชาจะยังทำอย่างต่อเนื่อง มีความตั้งใจอยากส่งต่อองค์ความรู้ให้เด็ก ๆ ในชุมชน ให้ได้มาเรียนรู้ มาทำกิจกรรมแบบค่อย ๆ ซึมซับ เพื่อเป็นการบ่มเพาะแนวคิดและองค์ความรู้ศาสตร์พระราชาให้กับคนรุ่นใหม่ด้วยค่ะ ไม่อยากนิยามตัวเองว่าเป็นหนึ่งตัวอย่างความสำเร็จในการเดินตามรอยพ่อ เพราะคิดว่าคุณสมบัติยังไม่ถึงระดับนั้น แต่อยากจะให้เรียกว่าเป็นหนึ่งตัวอย่างของคนที่มุ่งมั่นตั้งใจทำมากกว่าค่ะ”


ผู้ที่สนใจติดตามชมการสรุปผลการดำเนินโครงการ “พลังคนสร้างสรรค์โลก รวมพลังตามรอยพ่อของแผ่นดิน” (ตามรอยพ่อฯ) ได้ในรายการ “เจาะใจ” วั
นที่ 2,9 เมษายน 2565 ทางช่อง MCOT HD เวลา 21.40 – 22.35 น.

ติดตามเนื้อหาโครงการได้ทาง www.facebook.com/ajourneyinspiredbytheking
ดูรายละเอียดที่ https://ajourneyinspiredbytheking.org

บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด ผู้ให้บริการรถไฟฟ้าสายสีแดง

รถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ เดินหน้าสู่การดำเนินงานปีที่ 10 อย่างยิ่งใหญ่ จัดกิจกรรมสุดพิเศษ! ทั้งกิจกรรมการตลาดออนไลน์ และออฟไลน์ รวมทั้งกิจกรรมเพื่อสังคม ส่งมอบความสุขให้แก่ผู้โดยสาร และประชาชน

นายสุเทพ พันธุ์เพ็ง กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด
เปิดเผยว่าในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2564 ที่จะถึงนี้บริษัทจะก้าวเข้าสู่ปีที่ 10 ในการดำเนินงานแล้ว ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทได้มุ่งมั่นดำเนินงานเพื่อเป็นผู้นำในการให้บริการเดินรถไฟฟ้าที่มีมาตรฐานในระดับสากลตามวิสัยทัศน์ของบริษัท โดยได้นำระบบบริหารคุณภาพ ISO 9001 : 2015 ที่บริษัทผ่านการรับรองเข้ามาใช้ทั้งในด้านการเดินรถ และซ่อมบำรุง จนทำให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพ และเป็นไปตามมาตรฐาน ส่งผลให้จำนวนผู้โดยสาร และรายได้มีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เปิดให้บริการ ซึ่งปัจจุบันมีผู้โดยสารรวมมากกว่า 190 ล้านคน และรายได้รวมกว่า 6,000 ล้านบาท รวมทั้งในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 บริษัทได้ดำเนินการมาตรการต่างๆตามนโยบายของกรมการขนส่งทางราง และกระทรวงคมนาคม จนสามารถสร้างความมั่นใจในการใช้บริการให้แก่ผู้โดยสารได้เป็นอย่างมาก

ดังนั้นเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองความสำเร็จ และการก้าวเข้าสู่ปีที่ 10 ในการดำเนินงาน บริษัทจึงได้จัดกิจกรรมสุดพิเศษ! ทั้งกิจกรรมการตลาดออนไลน์ ออฟไลน์ รวมทั้งกิจกรรมเพื่อสังคม ( CSR ) ส่งมอบความสุขให้แก่ผู้โดยสาร และประชาชน โดยเริ่มจากการเปิดตัวกลุ่มอินฟลูเอนเซอร์ทีมที่ประกอบด้วยเหล่าคนดังทั้งพระเอกช่อง 3เด่นคุณ งามเนตร, มิสไทยแลนด์เวิล์ด 2019-2020 เกรซ นรินทร , นักแสดงช่อง 7 ซูกัส บัณฑวิช และอาธ กษิดิ์ธัช มณีพันธุ์ ทายาทผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย มาร่วมประชาสัมพันธ์การให้บริการและกิจกรรมการตลาดตลอดทั้งปี และเพื่อเป็นของขวัญชิ้นพิเศษ บริษัทได้ผลิต Video Viral ครบรอบ 10 ปีของรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ ซึ่งจะเปิดตัวในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2564 และเปิดโอกาสให้ผู้โดยสารได้ร่วมสนุกตั้งชื่อ Video Viral เฉลิมฉลองครบรอบ 10 ปีรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ ผ่านทางเฟสบุ๊ค Airport Rail Link ( Official Page ) ลุ้นรับรางวัลสุดพิเศษ พร้อมกันนี้ในวันเดียวกันยังมีกิจกรรมการตลาดแบบออฟไลน์แจกผ้าเช็ดทำความสะอาด (Refreshing Wipe) จำนวน 10,000 ชิ้น มูลค่าชิ้นละ 65 บาท ฟรี ให้แก่ผู้โดยสารทุกคนที่ แอร์พอร์ต เรล ลิงก์ สถานีพญาไท และสถานีมักกะสัน ตั้งแต่เวลา 08.00 น. เป็นต้นไป

นอกจากนั้นเพื่อความเป็นสิริมงคล บริษัทได้จัดงานทำบุญเลี้ยงพระเนื่องในโอกาสครบรอบ 10 ปี ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2564 ณ แอร์พอร์ต เรล ลิงก์ สถานีมักกะสัน และได้เชิญชวนหน่วยงานภายนอกใต้สังกัดกระทรวงคมนาคม รวมทั้งหน่วยงานพันธมิตร ร่วมบริจาคสมทบทุนเพื่อประโยชน์สาธารณกุศลกับมูลนิธิสายใจไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และในเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้ได้มีแผนการจัดกิจกรรมการตลาดแบบออฟไลน์เอาใจผู้โดยสารตามแต่ละสถานี โดยเตรียมส่งคาราวานดารา นายแบบ เน็ตไอดอล คนดัง 10 คน ออกแจกเจลแอลกอฮอล์ ฟรี ที่สถานีรถไฟฟ้าทุกสถานี ทั้งนี้ เพื่อเป็นการส่งเสริมสุขอนามัยให้แก่ผู้โดยสาร และลดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยกิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้นภายใต้ข้อกำหนดตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ของกระทรวงคมนาคมและกรมการขนส่งทางรางอย่างเข้มงวด เพื่อให้ผู้โดยสารได้รับความสุข และปลอดภัยในการใช้บริการ

ด้านกิจกรรมเพื่อสังคม ( CSR ) ซึ่งเป็นนโยบายที่บริษัทให้ความสำคัญมาโดยตลอด ด้วยการจัดกิจกรรมเพื่อสังคมต่างๆ ทั้งในพื้นที่ชุมชน และโรงเรียนใกล้เคียงพื้นที่รถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ รวมถึงพื้นที่ห่างไกลในต่างจังหวัด เช่นล่าสุดเมื่อสิ้นปีที่ผ่านมา “Lost & Found สานฝันเพื่อน้อง ปี 2” มอบวัสดุอุปกรณ์การเรียน อุปกรณ์กีฬา เครื่องอุปโภคบริโภค พร้อมปรับปรุงอาคารเรียนอเนกประสงค์ ให้แก่โรงเรียนบ้านหัวแม่โถ จังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งในโอกาสก้าวสู่ปีที่ 10 นี้ บริษัทได้จัดกิจกรรมเพื่อสังคมอีกครั้ง โดยเป็นกิจกรรมเพื่อสังคมแบบทุกมิติ ทั้งการมอบเครื่องอุปโภคและบริโภคที่จำเป็นให้แก่กรมราชทัณฑ์ , มอบข้าวสาร และอาหารแห้งให้แก่ชุมชนที่ได้รับผลกระทบโควิด-19 , มอบรถวีลแชร์ให้แก่โรงพยาบาลสงฆ์ และมอบทุนการศึกษาให้แก่มูลนิธิสงเคราะห์ชาวไทย เพื่อเป็นทุนการศึกษาให้แก่นักเรียนที่เรียนดีแต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ ซึ่งทุกโครงการจะแล้วเสร็จภายในเดือนเมษายนนี้

ทั้งนี้ บริษัทยังคงยึดมั่นในวิสัยทัศน์ที่จะมุ่งมั่นเพื่อเป็นผู้นำในการให้บริการเดินรถไฟฟ้าที่มีมาตรฐานในระดับสากลเพื่อให้ผู้โดยสารได้รับความสะดวก
และปลอดภัยในการใช้บริการรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ ต่อไป

หากมีข้อสงสัยสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลและเงื่อนไขเพิ่มเติมได้ที่หมายเลข Call Center 1690 หรือ https://www.srtet.co.th/index.php/th/
www.facebook.com/AirportRailLink และ Twitter : Airport Rail Link

“ทีเส็บ” เร่งฟื้นฟูอุตสาหกรรมไมซ์ด้วยงานแสดงสินค้านานาชาติผ่านแผนแม่บท 3 ปี

“ทีเส็บ”เร่งฟื้นฟูอุตสาหกรรมไมซ์ด้วยงานแสดงสินค้านานาชาติผ่านแผนแม่บท 3 ปี”ไทยแลนด์ ล็อก-อิน อีเวนท์”พร้อมดึงงานเข้าสู่พื้นที่อีอีซีไม่ต่ำกว่า15งานเสริมสร้างความเข้มแข็งให้อุตสาหกรรมงานแสดงสินค้านานาชาติรองรับการจัด Thailand International Air Show เต็มรูปแบบในปี 2568

นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน

นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน)หรือทีเส็บนำคณะสื่อมวลชนเข้าร่วมกิจกรรมเสวนาภายใต้แผนแม่บทอุตสาหกรรมไทยแลนด์ ล็อก-อิน อีเวนท์ แผนแม่บทส่งเสริมการจัดงานแสดงสินค้านานาชาติภายใต้แคมเปญฟื้นฟูอุตสาหกรรมไมซ์กระตุ้นผู้ประกอบการให้กลับมาจัดงานอีกครั้งด้วยการสนับสนุนด้านต่างๆจากทีเส็บทั้งในด้านของการสนับสนุนทางการเงินและสิทธิประโยชน์อำนวยความสะดวกในการจัดงานเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เดินหน้าอีกครั้งหลังผ่านพ้นสถานการณ์โควิด-19

กิจกรรมเสวนาในครั้งนี้ทีเส็บมาพร้อมกับวิทยากรรับเชิญที่มาร่วมพูดคุยถึงความพร้อมและความคืบหน้าของแผนแม่บทดังกล่าว ได้แก่ ดร.คเณศ วังส์ไพจิตร ผู้ช่วยเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกหรืออีอีซี, คุณรัตนชัย สุทธิเดชานัย ที่ปรึกษาเมืองพัทยาด้านการท่องเที่ยวและวัฒนธรรมและคุณธเนศ จันทร์เจริญ คณะทำงาน บริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัดหรือยูทีเอ/หัวหน้าคณะทำงานด้านวางแผนกลยุทธ์ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) เมื่อวันศุกร์ที่ 25 กันยายนที่ผ่านมา ณ โรงแรม แกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ พัทยา โดยมีคณะสื่อมวลชนให้ความสนใจเข้าร่วมกว่า 30 สำนัก

นายจิรุตถ์ กล่าวว่า สำหรับนโยบายของทีเส็บในการเร่งฟื้นฟูอุตสาหกรรมไมซ์ผ่านแคมเปญส่งเสริมการจัดงานไมซ์เพื่อกระตุ้นให้เศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวอีกครั้งหลังสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศไทยคลี่คลายลงและช่วยเหลือผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมไมซ์ให้กลับมาเดินหน้าต่อไปได้ผ่านการกระตุ้นด้วยแผนแม่บทไทยแลนด์ ล็อก-อิน อีเวนท์ โดยมุ่งเน้นไปที่การสนับสนุนด้านงานแสดงสินค้านานาชาติเป็นหลักผ่านการประสานประโยชน์กับพันธมิตรหลักอย่างอีอีซีและเมืองพัทยาในการสนับสนุนด้านต่างๆเช่น การสนับสนุนด้านการเงินในการจัดงานแบบปกติใหม่ (new normal) การสนับสนุนค่าใช้จ่ายสำหรับการสำรวจพื้นที่ค่าประชาสัมพันธ์งาน รวมไปถึงสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับการอำนวยความสะดวกเมื่อเจ้าของงานเลือกสร้างงานใหม่หรือขยายงานเดิมมาลงยังพื้นที่อีอีซีและพัทยา

แผนแม่บทนี้จะช่วยกระตุ้นอุตสาหกรรมงานแสดงสินค้านานาชาติภายใต้การจัดงานงานที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ โครงสร้างพื้นฐาน อุตสาหกรรมการบิน และอุตสาหกรรมเป้าหมายในพื้นที่อีอีซี ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ อุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร อุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจรและอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ การจัดการภัยธรรมชาติและการรับมือโรคระบาด รองรับผู้ประกอบการด้วยสิทธิประโยชน์ที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้การจัดงานประสบความสำเร็จ

สำหรับอุตสาหกรรมอวกาศ (Space Industry) เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมโครงสร้างพื้นฐานยุคดิจิทัลที่สำคัญอย่างยิ่ง สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงถึง 5.6 หมื่นล้านบาท อัตราการเติบโตสูงกว่าอุตสาหกรรมอื่นถึง 10% (ข้อมูลปี พ.ศ. 2562) GISTDA ในฐานะหน่วยงานที่มีพันธกิจส่งเสริมพัฒนาศักยภาพด้านอุตสาหกรรมอวกาศ จึงเร่งสนับสนุนพัฒนาและประยุกต์เทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศอย่างสร้างสรรค์ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ นำไปสู่การขยายตัวทางเศรษฐกิจ ลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนให้กับสังคม กิจการด้านอุตสาหกรรมอวกาศที่คนทั่วไปรู้จัก เช่น การสำรวจอวกาศ การขนส่งทางอวกาศ ระบบการหาตำแหน่งทั่วโลก (GPS) และ ดาวเทียมและระบบควบคุมเพื่อการต่าง ๆ (เช่น ดาวเทียมสื่อสาร สำรวจพื้นที่และทรัพยากร พยากรณ์อากาศ และทางทหาร)

อย่างไรก็ตาม ทีเส็บเล็งเห็นพันธกิจของ GISTDA ที่สอดคล้องกับเป้าหมายของแผนแม่บทไทยแลนด์ ล็อกอิน อีเวนท์คือการยกระดับอุตสาหกรรมโลจิสติกส์และโครงสร้างพื้นฐานของประเทศเพื่อเตรียมพร้อมรองรับการจัดงานไมซ์ระดับโลกจึงเป็นที่มาของการจับมือกันระหว่าง TCEB และ GISTDA ในฐานะพันธมิตรภายใต้แผนแม่บทนี้และในฐานะเจ้าภาพร่วมการนำหนึ่งในงานแสดงสินค้านานาชาติด้านอุตสาหกรรมอากาศยานที่ใหญ่ที่สุดนั่นคือ Thailand International Air Show ลงพื้นที่ EEC ในอีก 3 ปีข้างหน้านอกจากเป็นการส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมโลจิสติกส์และโครงสร้างพื้นฐานผ่านการจัดงานไมซ์แล้วอุตสาหกรรมอากาศยานยังเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมอวกาศโดยตรงทำให้ส่งเสริมการพัฒนาและแลกเปลี่ยนนวัตกรรมด้านอุตสาหกรรมอวกาศในคราวเดียวกัน

จากนั้นเดินทางสู่ โรงแรมดุสิตธานี พัทยา และเข้าร่วมงานดินเนอร์ทอล์คริมชายหาด เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากทีเส็บ โรงแรมดุสิตธานี และ  องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) ในการเชื่อมโยงการท่องเที่ยว และการนำเสนอสินค้าชุมชนเข้ากับกิจกรรมของทีเส็บโดยเย็นวันนี้ มีตัวอย่างของดีชุมชนในพัทยามาจัดแสดง ให้ชม ชิม ช้อป และร่วมลองทำด้วยตัวเองอีกด้วย

โรงแรมดุสิตธานี พัทยา
การนำเสนอสินค้าชุมชนเข้ากับกิจกรรมของทีเส็บ
การนำเสนอสินค้าชุมชนเข้ากับกิจกรรมของทีเส็บ

อาทิ การสาธิตการทำพวงมโหตร ชมรมผู้สูงอายุตำบลบางเสร่ , เวิร์คช้อปหน้ากากงิ้ว จากชุมชนจีนโบราบ้านชากแง้ว , กุยช่ายไส้ผัก-ฮ่อยจ๊อปู เมนูอร่อย ชุมชนบ้านชากแง้ว , สลัดโรลดอกไม้ เมนูจากผักออร์แกนิค โดยชุมชนวังน้ำดำ อ.บ้านบึง , สาธิตทำผ้าบาติก จากชุมชนบ้านเก่า ตลาดบางเสร่ อ.สัตหีบ

นับเป็นการผสานความพร้อมของศักยภาพที่มีในพื้นที่ เพื่อเตรียมเดินหน้าทันทีหลังสถานการณ์ณ์แพร่ระบาดโควิด-19 คลี่คลายลง ซึ่งถือเป็นมิติแห่งความร่วมมือ ที่สามารถดึงพลังของแต่ละหน่วยงานออกมาเพื่อผลักดันเศรษฐกิจไทยให้เดินหน้าต่อไป โดยมุ่งหวังให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับทุกภาคส่วน

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมของแคมเปญสนับสนุนและแผนแม่บท
ไทยแลนด์ ล็อก-อิน อีเวนท์ จากทีเส็บได้ที่ exhibitions@tceb.or.th

ต๊อด-ปิติ วิชั่น 3 ปี ปั้นเครือข่ายขนส่งครอบคลุมไทย – ภูมิภาค

โมเดลธุรกิจของ BevChain Logistics ในประเทศไทย ครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำ ถึงลูกค้าร้านปลีก

คุณปิติ ภิรมย์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บริษัท บีอาร์เอฟ โลจิสติคส์ จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากได้รับมอบหมายให้เข้ามาดูแลและพัฒนาห่วงโซ่การผลิตหรือ Supply Chain ในเครือบริษัท บุญรอดฯ ทั้งระบบครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เพื่อให้การบริหารจัดการเกิดประสิทธิภาพและลดต้นทุน อีกทั้งยังยกระดับการขนส่ง ซึ่งที่ผ่านมาก็เป็นไปในทิศทางที่ดี

การร่วมทุนกับ บริษัท ลินฟ้อกซ์ โฮลดิ้งส์ 2018 (ประเทศไทย) เกิดจากทัศนคติและความต้องการสร้างเครือข่ายทางการขนส่ง ที่ทันต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศไทยและภูมิภาค ที่ครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำ ถึงปลายน้ำ ผสานกับความรู้ความเชี่ยวชาญของทั้ง 2 บริษัท จึงถือเป็นการจับคู่ธุรกิจที่สมบูรณ์แบบหรือ Perfect Match และการผนึกกำลังกันครั้งนี้ บุญรอดฯ จะใช้จุดแข็งและศักยภาพที่มีตลอด 85 ปีในการทำธุรกิจ โดยเฉพาะเครือข่ายการค้า ตัวแทนจำหน่าย ซึ่งหมายถึงการที่บริษัทสามารถส่งสินค้าและบริการเจาะถึงร้านค้าปลีกที่อยู่ตามตรอก ซอก ซอยในทุกจังหวัดทั่วประเทศ เมื่อ เชื่อว่าลูกค้าจะได้รับประโยชน์สูงสุดทั้งด้านต้นทุน ช่วยเพิ่มศักยภาพธุรกิจการค้า เพิ่มโอกาสในการทำตลาดเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายปลายทางหรือ Last mileได้มากยิ่งขึ้น

คุณปิติ ภิรมย์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บริษัท บีอาร์เอฟ โลจิสติคส์ จำกัด

“ภายใน 3 ปีนี้ BevChain Logistics วางเป้าหมายการสร้างเจาะตลาดระดับภูมิภาคอาเซียน รองรับการเติบโตของตลาดโดยเฉพาะในกลุ่มประเทศกัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม (CLMV)เนื่องจากประเทศเพื่อนบ้านเหล่านี้ มีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจอีกทั้งยังเป็นตลาดสำคัญของสินค้าและบริการจากประเทศไทย เมื่อแบรนด์ต่างๆเข้าไปขยายตลาด ทำให้ต้องการบริการด้านโลจิสติกส์ตามไปด้วย และบริษัทพร้อมตอบสนองความต้องการของลูกค้าทุกอุตสาหรรม ทุกขนาด ทั้งบริษัทเล็ก กลาง ใหญ่ เพื่อเติบโตไปด้วยกัน ปิติ กล่าวเสริม”

ทั้งนี้ จุดแข็งของลินฟ้อกซ์ คือ ความรู้และความเชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการสินค้าและการขนส่ง ถือเป็นบริษัทให้บริการด้านโลจิสติคส์เอกชนที่ใหญ่ที่สุดในภาคพื้นเอเชียแปซิฟิค มีธุรกิจครอบคลุมตลาดใน 12 ประเทศ มีคลังสินค้ากว่า 200 แห่ง มีพนักงาน 24,000 คน และมีการให้บริการส่งสินค้าไปยังตลาดทั่วโลก ครอบคลุมหลากหลายเซ็กเตอร์ เช่น สินค้าอุปโภค-บริโภค ธุรกิจค้าปลีก อุตสาหกรรมเหมืองแร่ และอุตสาหกรรมปิโตรเคมีฯ โดยมีมูลค่ารวมกว่า 6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนในประเทศไทยนั้นลินฟ้อกซ์ให้บริการด้านขนส่งสินค้ามานานถึง 25 ปี มีความเข้าใจถึงความต้องการของตลาดในประเทศไทยเป็นอย่างดี

ขณะที่จุดแข็งของบุญรอด คือประสบการณ์ขนส่งสินค้าและบริการมานาน 85 ปี ครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เจาะลึกตั้งแต่ห้างค้าปลีกขนาดใหญ่(โมเดิร์นเทรด) ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านสะดวกซื้อ ระบบเอเย่นต์ตัวแทนจำหน่ายในทุกๆจังหวัด ลงลึกถึงระดับอำเภอมากกว่า 200 ราย ไปจนถึงร้านค้าย่อยทั่วทั้งประเทศ เมื่อผสานกับความเชี่ยวชาญทางด้านโลจิสติคส์ของ BevChain Logistics เชื่อว่าบริษัทสามารถนำเสนอโซลูชั่นปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการของลูกค้า โครงสร้างการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ จะช่วยลดต้นทุน เพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาด สร้างการเติบโตของธุรกิจในอนาคตร่วมกับลูกค้า

สำหรับโมเดลธุรกิจของ BevChain Logistics ในประเทศไทย จะเน้นให้บริการที่เป็นมาตรฐานเดียวกับในประเทศออสเตรเลีย ได้แก่ การให้บริการทางด้านการบริหารจัดการคลังสินค้า การให้บริการทางด้านจัดส่งสินค้า เป็นต้น แต่สิ่งที่แตกต่างออกไปสำหรับ BevChain Logistics ในประเทศไทย คือ การเจาะกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งจะโฟกัสกลุ่มลูกค้าที่เป็นธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค (FMCG) ขนาดปานกลางถึงขนาดย่อม และลูกค้ากลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มต่างๆ ที่ต้องการป้อนสินค้าและบริการถึงลูกค้าเป้าหมายปลายทางหรือ Last Mile

ปัจจุบันภาพรวมธุรกิจโลจิสติกส์ในประเทศไทย ธุรกิจโลจิสติกส์รวมปี 2018 (215,000 ล้านบาท) แบ่งเป็นธุรกิจขนส่งสินค้าทางบกในปี 2018 มีมูลค่า 145,100 – 147,300 ล้านบาท ธุรกิจคลังสินค้า ปี 2561 มูลค่า 75,500 – 76,700 ล้านบาท

ตลาดขนส่งสินค้าทางบกเติบโต +5.3-7% PY(137,700 ล้านบาท) คลังสินค้า + 5.3 – 7% PY (71,700 ล้านบาท) ด้วยปัจจัยจากการขยายตัวของเศรษฐกิจ การลงทุนของภาครัฐและเอกชน การขยายตัวของ E-commerce ปัจจัยการปรับรูปแบบจาก Offline platform to Online platform ทำให้มีความต้องการคลังสินค้าพรี่เมี่ยมมากขึ้น

การจับมือครั้งนี้ทำให้เครือบุญรอดเป็นพาร์ตเนอร์รายที่ 2 ของลินฟ้อกซ์ และเป็นรายแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ทั้งนี้จุดแข็งของลินฟ้อกซ์คือความรู้และความเชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการสินค้าและการขนส่ง ถือเป็นบริษัทให้บริการด้านโลจิสติกส์เอกชนที่ใหญ่ที่สุดในภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก มีธุรกิจครอบคลุมตลาดใน 12 ประเทศ มีคลังสินค้ากว่า 200 แห่ง มีพนักงาน 24,000 คน ให้บริการส่งสินค้าไปยังตลาดทั่วโลก ครอบคลุมหลากหลายเซ็กเตอร์ เช่น สินค้าอุปโภค-บริโภค ธุรกิจค้าปลีก อุตสาหกรรมเหมืองแร่ และอุตสาหกรรมปิโตรเคมีฯ มูลค่ารวมกว่า 6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ

ขณะที่จุดแข็งของบุญรอดคือประสบการณ์ขนส่งสินค้าและบริการมานาน 85 ปี ครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เจาะลึกตั้งแต่ห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ (โมเดิร์นเทรด) ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านสะดวกซื้อ ระบบเอเย่นต์ตัวแทนจำหน่ายในทุกๆ จังหวัด ลงลึกถึงระดับอำเภอมากกว่า 200 ราย ไปจนถึงร้านค้าย่อยทั่วทั้งประเทศกว่า 200,000 ร้าน ซึ่งยอดขายของเครือบุญรอด 80% มาจากกลุ่มนี้ มีเพียง 20% เท่านั้นที่มาจากโมเดิร์นเทรด

ต๊อด-ปิติ บอกว่า BevChain Logistics จะเน้นให้บริการที่เป็นมาตรฐานเดียวกับในออสเตรเลีย ทั้งการให้บริการทางด้านการบริหารจัดการคลังสินค้า การให้บริการทางด้านจัดส่งสินค้า เป็นต้น แต่สิ่งที่แตกต่างออกไปคือ การเจาะกลุ่มเป้าหมายซึ่งกลุ่มแรกจะมองในกลุ่มเครื่องดื่ม ก่อนที่จะขยับไปยังอาหารและสินค้า FMCG

เบื้องต้น BevChain Logistics จะเน้นซัพพอร์ตในเครือบุญรอด ทั้งเครื่องดื่ม เช่น น้ำเปล่า โซดา เบียร์ และยังมีกลุ่มอาหารอีก 14 บริษัทที่จะเป็นธุรกิจหลักของกลุ่มบุญรอด ในอนาคตจะมีทั้งอาหารแช่แข็ง ร้านอาหาร ดังนั้นการมีซัพพลายเชนจะมารองรับธุรกิจในส่วนนี้ด้วย

สิงห์ คอมเพล็กซ์ คุณปิติ ภิรมย์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บีอาร์เอฟ โลจิสติคส์ จำกัด และ มร.ปีเตอร์ ฟ้อกซ์ ประธานบริษัท ลินฟ้อกซ์อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป พีทีวาย ลิมิเต็ด ที่ใหญ่สุดในภาคพื้นเอเชียแปซิฟิค งานแถลงข่าวเปิดตัว บริษัท บีอาร์เอฟ โลจิสติคส์ จำกัด ภายใต้ชื่อ BevChain Logistics โดยมีทุนจดทะเบียนเบื้องต้น 250 ล้านบาท ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่าง “บริษัท บุญรอด ซัพพลายเชน จำกัด” และ “บริษัท ลินฟ้อกซ์ โฮลดิ้งส์2018 (ประเทศไทย)” ท่ามกลางแขกผู้มีเกียรติ ผู้บริหาร พร้อมสื่อมวลชนร่วมงานอย่างคับคั่ง