Category Archives: ข่าว

4 ผู้บริหาร ผู้ก่อตั้งหลักสูตร อัลตร้า เวลท์ Ultra Wealth Group

อัลตร้า เวลท์ กรุ๊ป  ( Ultra Wealth Group )  

หลักสูตร ซุปเปอร์คอนเน็คชั่น
เดินหน้าพัฒนาหลักสูตรการบริหารการลงทุน
เพื่อนักธุรกิจระดับท็อป

บริษัท อัลตร้า เวลท์ กรุ๊ป จำกัด โดย 4 ผู้บริหาร ผู้ก่อตั้งหลักสูตร อัลตร้า เวลท์  (Ultra Wealth Group)  อาทิ  คุ ณชัชวาลย์ เจียรวนนท์
อัลตร้า เวลท์ กรุ๊ป (Ultra Wealth Group) เดินหน้าพัฒนาหลักสูตรการบริหารการลงทุนเพื่อนักธุรกิจระดับท็อป เปิดหลักสูตรรุ่นที่ 3 ยกระดับหลักสูตร เพิ่มช่องทางการเรียนรู้ ความเข้าใจในการลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ เห็นผลลัพธ์ได้จริง มั่นใจสามารถบริหารซุปเปอร์คอนเนคชั่น ขยายเครือข่ายไปยังประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่ม  CLMV  ASEAN  อีกหลายประเทศ ในแถบยุโรป และอเมริกา เพื่อแลกเปลี่ยนและเรียนรู้และมองหาความร่วมมือกันของนักลงทุนจากทั่วโลก

4 ผู้บริหารผู้ก่อตั้งหลักสูตร อัลตร้า เวลท์
คุณชัชวาลย์  เจียรวนนท์  ประธานกลุ่มอัลตร้า เวลท์ กรุ๊ป
คุณปิยะมาน  เตชะไพบูลย์  กรรมการอัลตร้า เวลท์ กรุ๊ป
คุณสุพร  วัธนเวคิน       กรรมการอัลตร้า เวลท์ กรุ๊ป
ดร.ศุภชัย สุขะนินทร์   กรรมการอัลตร้า เวลท์ กรุ๊ป

เพื่อยกระดับ หลักสูตรการบริหารการลงทุนเพื่ออนาคต หลังจากประสบความสำเร็จมาแล้วจากรุ่นแรกและรุ่นที่ 2 อัลตร้า เวลท์ กรุ๊ป จัดหลักสูตรคุณภาพ ที่ให้ความรู้ทางด้านการลงทุน การแนะนำเพื่อใช้ต่อยอดทางธุรกิจ และขยายเครือข่ายซุปเปอร์คอนเนคชั่น ให้ผู้เข้าร่วมสามารถเดินไปด้วยกันกับอัลตร้า เวลท์ กรุ๊ป พร้อมโชว์ความเป็นตัวจริงของนักบริหารที่มีวิสัยทัศน์ สามารถมองเห็นภาพรวมของหลักสูตรได้อย่างชัดเจน สร้างโอกาสเพิ่มช่องทาง และความมั่นใจในการลงทุน สร้างผลตอบแทนได้อย่างคุ้มค่า จากความร่วมมือของเหล่านักลงทุนตัวจริง

ชัชวาลย์  เจียรวนนท์ ประธานกรรมการ อัลตร้า เวลท์ กรุ๊ป กล่าวว่า
“การลงทุนในยุคนี้ต้องประกอบไปด้วย 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่

ส่วนที่ 1 กลุ่มทุน ก็คือพวกเรานักธุรกิจที่มีธุรกิจหรือมรดกตกทอดที่จะสามารถเป็นแรงสนับสนุนในการขับเคลื่อนธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ส่วนที่ 2 คือคอนเนคชั่นที่แข็งแรง จำเป็นต่อการต่อยอดธุรกิจ ถือเป็นหัวใจหลักในการดำเนินธุรกิจ เพราะธุรกิจไม่สามารถดำเนินไปทิศทางที่ดีได้โดยปราศจากความช่วยเหลือและร่วมมือกันจากองค์กรพันธมิตร

ส่วนที่ 3 คือ ข้อมูลข่าวสาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคนี้ ที่ข้อมูลข่าวสารถือเป็นเรื่องสำคัญมาก ใครที่รู้เยอะกว่ายิ่งได้เปรียบ ซึ่ง อัลตร้า เวลท์ กรุ๊ป พยายามถือเป็นศูนย์กลางในการรวบรวม โดยปัจจุบันมีผู้เรียนในหลักสูตรทั้ง 3 รุ่น รวมทั้งหมดกว่า 300 คน โดยทั้งหมดครอบคลุมในแวดวงธุรกิจ
กว่า 80%  กล่าวได้ว่า  เราเป็นส่วนสนับสนุน  ซัพพอร์ตในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยได้ สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็น ไทยแลนด์ 4.0 หรือ โมเดลพัฒนาเศรษฐกิจของไทย รวมทั้งโครงการ Eastern Economic Corridor (EEC) ซึ่งถือเป็นนโยบายใหม่ของรัฐบาล
ที่จะเร่งพัฒนา 3 จังหวัดภาคตะวันออก คือ ชลบุรี  ระยอง และ ฉะเชิงเทรา โดย อัลตร้า เวลท์ กรุ๊ป เป็นกรุ๊ปที่สามารถรวบรวมนักธุรกิจไว้ด้วยกัน ย่อมหมายถึงการช่วยให้เกิดการแอ็กทีฟในตลาดทุนเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ตลาดมีสภาพคล่องเพิ่มมากยิ่งขึ้นเมื่อมีการลงทุนร่วมกัน โดยปัจจัยหลัก 3 ด้าน
ที่ต้องวิเคราะห์สำหรับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสที่เหลือ ต้องวิเคราะห์จาก 1) การส่งออก 2) การท่องเที่ยวและบริการ และ 3) การบริโภคภายในประเทศ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา ถือว่า  ข้อ 1 และ 2  อยู่ในภาวะที่ดี แต่จำเป็นต้องเร่งในส่วนข้อที่ 3 เพื่อให้เศรษฐกิจขับเคลื่อนไปได้อย่างดี ทั้งนี้ อัลตร้า เวลท์ กรุ๊ป จัดทำหลักสูตรขึ้น  โดยหัวใจหลัก ประกอบด้วย 4 ส่วนหลัก ได้แก่ 1) Ultra Investment  2) Ultra Network  3) Ultra Deal และ
4) Ultra Wealth Club”

กรรมการอัลตร้า เวลท์ กรุ๊ป ทั้ง 3 ท่าน กล่าวถึงการบริหารในครั้งนี้ โดยเริ่มจาก ปิยะมาน เตชะไพบูลย์ เปิดเผยว่า  “ปีนี้  เราก็จะเน้นในเรื่องทางเลือกต่างๆ ในการลงทุน ซึ่งโครงสร้างจะเหมือนเดิม แต่วิทยากรจะมีการอัพเดตข้อมูลมากขึ้น มีความช่ำชองการนำเสนอมากขึ้น อาทิ คุณชาญ บุญกุล ซึ่งเป็นที่รู้จักมานาน ท่านไม่เคยพูดที่ไหนมาก่อน ท่านก็ให้เกียรติ  กับอัลตร้า เวลท์ นอกจากนี้  เราก็จะมีไปดูงานที่ประเทศอังกฤษ  ตอนนี้ค่าเงินปอนด์ (ปอนด์สเตอริง) ถูกลง ทำให้หลายๆ คนสนใจจะไปลงทุนต่างประเทศ ซึ่งเป็นนโยบายของรัฐบาลที่อยากจะให้คนไทยไปลงทุนที่ต่างประเทศ และเนื่องจากเราเป็นการร่วมกันของเอกชน ทำให้เราจะทำงานสามารถยืดหยุ่นได้ ทันต่อเหตุการณ์  เช่น  รุ่นแรกที่เราไปประเทศจีน   มีการแลกเปลี่ยนทัศนคติการลงทุนกัน ธุรกิจสามารถเอื้อประโยชน์ต่อกัน  และนี่คือสิ่งที่เรา
จะเน้นในปีนี้ ”

ในขณะที่ สุพร วัธนเวคิน ที่รับผิดชอบด้าน Ultra Investment เผยว่า “การลงทุนของ อัลตร้า เวลท์ กรุ๊ป จะเป็นการลงทุนเพื่อต่อยอดของนักธุรกิจที่มีความแตกต่างจากลงทุนทั่วไป เช่น การลงทุนทั่วไปนักลงทุนต้องเริ่มจากการทำการบ้าน ศึกษาข้อมูล หาที่ปรึกษาที่ดี ถึงจะกล้าลงมือทำ นำเม็ดเงินไปลงทุน ซึ่งมีความเสี่ยงสูง แต่ อัลตร้า เวลท์ กรุ๊ป เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ที่มาร่วมในคลาสด้วยกัน มีโอกาสได้ทำความรู้จัก ทำให้ได้ทราบถึงแบ็กกราวด์ทางธุรกิจ ความมั่นคงและน่าเชื่อถือ ก่อให้เกิดการต่อยอดในการลงทุน รวมถึงการจัดดูงานที่อัลตร้า เวลท์ กรุ๊ป จะมีการเดินทางไปที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ นอกจากจะมีกิจกรรมต่างๆ ที่สานสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนแล้ว ยังจะได้ไปดูงานด้านการลงทุนระดับโลก รวมถึงการเจรจาธุรกิจที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคตอีกด้วย”


ดร.ศุภชัย สุขะนินทร์ กรรมการอัลตร้า เวลท์ กรุ๊ป ได้กล่าวว่า “ทิศทางของอัลตร้า เวลท์ เริ่มจากรุ่น 1 และ 2 ที่ผ่านมา ซึ่งได้กระแสตอบรับจากผู้เข้ามาเรียนที่ดีมาก เกิดการต่อยอดการลงทุนใหม่ๆ และเมื่อถึงรุ่นนี้ สิ่งที่เราทำคือ การต่อยอด โดยแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ 1) อัลตร้า เวลท์ คลับ คือ การให้ความรู้นอกคลาสเรียน ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ หรือบุคคลที่อยู่ในห้องเรียน เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นโอกาส อย่างการต่อยอดคอนเนคชั่นกับกลุ่มที่อยู่ในเขตประเทศ CLMV (ประเทศในกลุ่มอาเซียนที่มีแนวโน้นเศรษฐกิจเติบโตอย่างต่อเนื่อง และมีแร่ธาตุและทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ อาทิ กัมพูชา ลาว พม่า เวียดนาม) 2) Ultra Education คือ นอกเหนือจากหลักสูตรที่เรียนในคลาสแล้ว ในอนาคตอาจจะมีการจัดตั้งหลักสูตรอื่นที่พิเศษขึ้นมาอีก และ 3) Ultra Investment คือ การลงทุนในระดับอัลตร้า ที่มีดีลที่พิเศษกว่าการลงทุนทั่วไป โดยการลงทุนเหล่านั้น จะเน้นในด้านที่มีพัฒนาและเติบโต เช่น ด้านเทคโนโลยี เป็นต้น”


ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ
อัลตร้า เวลท์ กรุ๊ป
www.ultrawealthgroup.com
info@ultrawealthgroup.com

แคมเปญยักษ์ระดับโลก ชวนคนไทยร่วมโหวตให้กับทีม Siam Organic

The Chivas Venture ปีที่3

แคมเปญยักษ์ระดับโลกเชิญชวนคนไทยร่วมโหวตให้กับทีม Siam Organic
เป็นสุดยอดนักธุรกิจเพื่อสังคมของโลก
ชิงเงินรางวัลสูงสุดหนึ่งล้านเหรียญฯ

Siam Organic ชนะเลิศโครงการ Chivas The Venture ปี 3 เป็นตัวแทนนักธุกิจเพื่อสังคมไปแข่งระดับโลก  สยาม ออร์แกนิก เป็นกิจการเพื่อสังคมที่มุ่งแก้ไขปัญหาความยากจนของเกษตรกรไทยอย่างยั่งยืน โดยใช้รูปแบบธุรกิจบริหารจัดการเพื่อแก้ไขปัญหาตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำผ่านผลิตภัณฑ์สินค้าอินทรีย์ภายใต้แบรนด์ แจสเบอร์รี่  (Jasberry)  ถึงแม้ประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่ส่งข้าวออกเป็นอันดับ 1 ของโลก แต่เกษตรกรไทยกลับมีรายได้ต่ำกว่าเกษตรกรในประเทศอื่นๆ กว่า 10 เท่า สยาม ออร์แกนิก เข้ามาร่วมทำงานกับเกษตรกรรายย่อย ส่งเสริมการปลูกข้าว ลดต้นทุน เพื่มผลผลิต ผ่านกระบวนการต่างๆ ทำให้เกษตรกรที่ร่วมโครงการกว่า 1,500 ราย มีรายได้ที่สูงขึ้นจากการจำหน่ายข้าว แจสเบอร์รี่ และผลิตภัณฑ์แปรรูปอื่นๆ ทำให้เกิดผลกระทบทางสังคม (Social Impact) กว่า 65 ล้านบาทในปี 2016

ชีวาส รีกัล (Chivas Regal) สก็อตช์วิสกี้ระดับโลกประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่จากการเปิดตัวแคมเปญยักษ์ “The Chivas Venture” โดย มร.เควนติน จ็อบ กรรมการผู้จัดการบริษัท เพอร์นอต ริคาร์ด (ประเทศไทย) จำกัดยังคงเล็งเห็นความสำคัญที่มีต่อสังคมตอกย้ำเจตนารมณ์ด้วยการสานต่อบิ๊กแคมเปญ  The Chivas Venture ปีที่3   เฟ้นหาสุดยอดนักธุรกิจผู้มีแนวคิดสร้างสิ่งดีๆ เพื่อสังคม ที่สร้างแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่หันมาตระหนักถึงความสำคัญของการทำธุรกิจควบคู่ไปกับการทำเพื่อสังคม ในคอนเซ็ปต์ Win the Right Way และในปีนี้ผู้ชนะได้แก่ปีตาชัย เดชไกรศักดิ์ จากทีม Siam Organic คว้ารางวัลชนะเลิศในระดับประเทศอย่างสวยงาม ซึ่งมีจุดประสงค์ในการแก้ไขปัญหาความยากจนของเกษตรกรในประเทศไทยผ่านนวัตกรรมสินค้าอินทรีย์ที่เจาะตลาดผู้บริโภคจากทั่วโลกภายใต้ชื่อสินค้า
แจสเบอร์รี่ (Jasberry)

ทางชีวาส รีกัล ขอเชิญชวนคนไทยช่วยกันโหวตให้กับ Siam Organic ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 8 พฤษภาคม ถึงวันจันทร์ที่ 12 มิถุนายน 2560 เป็นระยะเวลา 5 สัปดาห์ ได้ที่  www.chivas.com/the-venture/ ทุกคะแนนโหวต
จะเปลี่ยนเป็นเงินรางวัล  สำหรับช่วยเหลือสังคม โดยมีเงินทุนจากคะแนนโหวต 250,000 เหรียญดอลลาร์ ซึ่งเงินรางวัลจากการโหวตส่วนหนึ่งจะนำไปช่วยเหลือความยากจนของเกษตรกรที่มีสาเหตุจากการปลูกข้าวต้องใช้ต้นทุนสูงแต่กลับได้ผลกำไรที่ต่ำ เพราะการแทรกแซงจากพ่อค้า คนกลางและนำกลับมาพัฒนาธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนและเพื่อช่วยเหลือสังคมต่อไป Siam Organic เล็งเห็นปัญหาว่า ถึงแม้ประเทศไทย เป็นผู้ส่งออกข้าวอันดับหนึ่งของโลก แต่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวในประเทศของเรากลับมีรายได้โดยเฉลี่ยที่ต่ำที่สุดในอาเซียน สยามออร์แกนิคทำงานผ่านนวัตกรรมด้านการเกษตร ทั้งการปลูกข้าวและระบบบริหารจัดการแบบอินทรีย์มาตรฐานสากลและการปล่อยกู้ในระบบmicro-financing ซึ่งสามารถทำให้เกษตรกรภายใต้โครงการมีรายได้ที่สูงกว่ารายได้เฉลี่ยของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวไทยถึง 14 เท่า ในปัจจุบันสยามออร์แกนิคทำงานร่วมกับเกษตรกรมากกว่า 1,000 ครัวเรือนในภาคอีสาน เพื่อเพิ่มผลกระทบทางด้านสังคม (Social Impact) เราต้องการการสนับสนุนจากคุณเพื่อช่วยเกษตรกรมากกว่า 20,000 ครัวเรือน หลุดพ้นจากความยากจนได้อย่างถาวร

ในฐานะของตัวแทนสุดยอดนักธุรกิจเพื่อสังคมจากประเทศไทย จะได้เป็นตัวแทนเดินทางไปเข้าร่วมการแข่งขันรอบสุดท้ายกับสุดยอดนักธุรกิจเพื่อสังคมอีก 29 ประเทศจากทั่วทุกมุมโลกในเดือนกรกฎาคมที่ลอสแอนเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา พิชิตเงินรางวัลมูลค่า 1 ล้านเหรียญดอลลาร์

ชีวาส รีกัลจึงขอเชิญชวนช่วยกันโหวตให้กับ Siam Organic
สนับสนุนทีมไทยไปสู่เวทีโลกได้ที่ ช่วยกันโหวตคนไทยด้วยนะค่ะ
เพราะ ประเทศไทย เป็นผู้ส่งออกข้าวอันดับหนึ่งของโลก
https://www.chivas.com/th-th/the-venture/finalists/people/th-siam-organic

เปิดตัวแคมเปญ World Class Experience by Jaguar Land Rover X Embassy Diplomat Screens

เอ็มบาสซี ดิโพลแมท สกรีนฯ
โรงหนังหรู จับตรงจุด ยึดกลยุทธ์พันธมิตรขยายฐานผู้ชม ปีนี้เพิ่มอีก 3 ราย

ล่าสุดพร้อมรับส่งผู้ชมผ่านบริการ Movie Limo Service ด้วยรถลิมูซีนมูลค่า 40 ล้านบาท คาดส่งยอดขายตั๋วผ่านพันธมิตรทะลุ 60% ของยอดตั๋วทั้งหมด
มั่นใจทั้งปีรายได้รวมโตง่ายๆ อีก 10%

นายไบรอัน ฮอลล์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท  เอ็กซ์เซกคิวทีฟ ซีนิม่า คอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดเผยว่า  ภาพรวมรายได้ของโรงภาพยนตร์เอ็มบาสซี ดิโพลแมท สกรีนฯ ในปี 2560 นี้เชื่อว่าจะมีอัตราการเติบโตอย่างน้อย 10% มาจาก 3 ปัจจัยหลัก คือ พันธมิตรจากเดิม 8 ราย ปีนี้จะเพิ่มอีก 3 ราย, สถานที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเอ็มบาสซี เปิดให้บริการครบทุกพื้นที่ เพิ่มจำนวนผู้ใช้บริการมากขึ้น  และรายชื่อภาพยนตร์เข้าฉายในปีนี้เป็นหนังทำเงินค่อนข้างมาก

ปีที่ผ่านมาเป็นปีที่ทำการตลาดหนักกว่าปีนี้เพื่อสร้างฐานผู้ชมให้มากขึ้น ส่งผลให้ปีก่อนมีการเติบโตถึง 18% แต่ในปีนี้จากฐานผู้ชมและพันธมิตรที่ดีขึ้น
รูปแบบการทำตลาดทำได้ง่ายกว่า เมื่อเทียบกับปีก่อน บวกกับปัจจัยบวกต่างๆ จึงทำให้ปีนี้การเติบโต 10% มีความเป็นไปได้สูงมาก ส่วนสำคัญมาจากกลุ่มเป้าหมายระดับพรีเมียมที่มีกำลังซื้อและยังพร้อมใช้จ่ายกับการชมภาพยนตร์ไม่ว่าสภาพเศรษฐกิจจะดีหรือไม่ก็ตาม

รูปแบบการจับมือกับพันธมิตรเพิ่มมูลค่าบริการพิเศษให้แก่ลูกค้า ถือเป็นรายได้ที่บริหารความเสี่ยงได้เป็นอย่างดี ส่งผลให้ปีนี้บริษัทมุ่งจับมือกับพันธมิตรอีกอย่างน้อย 3 ราย ในกลุ่ม ยานยนต์, ไอศกรีม แลอสังหาริมทรัพย์ หรือกลุ่มโรงพยาบาล ในระดับพรีเมียม มั่นใจว่าจะทำให้ยอดตั๋วหนังที่เกิดจากพันธมิตรยังมีสัดส่วนไม่ต่ำกว่า 60% และอีก 40% มาจากการเข้ามาซื้อที่หน้าโรงเช่นปีที่ผ่านมา จากปกติต่อเดือนจะจำหน่ายตั๋วหนังได้ราว 8,000 ที่นั่ง ปีนี้จะเพิ่มเป็น 10,000 ที่นั่ง หรือเฉลี่ยต่อโรงมียอดเข้าชมที่ 40% จากราคาตั๋วหนังตั้งแต่ 900-1,400 บาท กับโรงภาพยนตร์ 5 โรง รวม 208 ที่นั่ง และกำลังพยายามเพิ่มอีก 20 ที่นั่ง

ล่าสุดปีนี้ได้จับมือกับบริษัท อินช์เคป (ประเทศไทย) จำกัด รุกทำตลาดรูปแบบมูฟวี มาร์เกตติ้ง เปิดตัวแคมเปญ World Class Experience by Jaguar Land Rover X Embassy Diplomat Screens

ร่วมมือระหว่างยนตรกรรมระดับโลกรถยนต์จากัวร์และแลนด์โรเวอร์กับโรงภาพยนตร์เอ็มบาสซี ดิโพลแมทสกรีน ให้บริการ Movie Limo Service ด้วยรถลิมูซีนมูลค่า 40 ล้านบาท  รับส่งลูกค้าเพื่อสร้างประสบการณ์ระดับซูเปอร์พรีเมียมที่มีกำลังซื้อสูงในกลุ่มลูกค้า VIP   ซื้อบัตร Embassy Gift Card มูลค่า 12,000 บาท  รวมถึงทำมูฟวี มาร์เกตติ้งในรูปแบบต่างๆ  ไม่ว่าจะเป็นนำเสนอสื่อโฆษณาแนวสร้างสรรค์ โปรโมชันส่วนลดบัตรชมภาพยนตร์ตลอดทั้งปี

จากแผนในปีนี้ที่จะเน้นทำ CRM มีการทำดาต้าเบส แมเนจเมนต์ เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าอย่างมีระบบเพื่อให้ลูกค้าประทับใจการให้บริการแบบเพอร์ซันนัลลิสต์เซอร์วิส โดยแต่ละเดือนจะมีโปรแกรมสร้างประสบการณ์ให้ลูกค้าด้วยโปรแกรม Because you’re special!

ใน ขณะเดียวกัน จากกระแสดิจิตอล ดิสรัปทีฟ จึงมีการอินทิเกรตสื่ออนไลน์ออฟไลน์ นำเสนอช่องทางและรูปแบบสื่อสารมัลติ  แพลตฟอร์ม ที่สามารถสร้าง Brand Excitement ให้กับสินค้าของลูกค้า  เชื่อว่าทั้งปีจะมีรายได้รวมโตขึ้นอย่างน้อย 10% มาจาก 3 ส่วนหลัก คือ 65-70% มาจากตั๋วหนังและเครื่องดื่ม 30%มาจากสปอนเซอร์และโฆษณา และอีก 5% มาจากงานอีเวนต์ที่จัดในโรงภาพยนตร์

ขับขี่ปลอดภัยด้วยเทคโนโลยีจาก Guardian System

เปิดตัวโซลูชั่นใหม่ Guardian System
ป้องกันอุบัติเหตุด้วยเทคโนโลยีกล้องอัจฉริยะ

สุดยอดเทคโนโลยีความปลอดภัยเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดที่ออกแบบมาเพื่อให้การขับขี่ปลอดภัยมากขึ้นด้วยเทคโนโลยี อุบัติเหตุกว่า 70% มาจากพฤติกรรมของผู้ขับขี่รถ สุดยอดเทคโนโลยีความปลอดภัย เปิดตัวโซลูชั่นใหม่ Guardian System ป้องกันอุบัติเหตุด้วยเทคโนโลยีกล้องอัจฉริยะพร้อมระบบเตือนภายในห้องโดยสารแบบเรียลไทม์ได้ผลจริง เพื่อการรณรงค์เพื่อป้องกันอุบัติเหตุ

และอีกหนึ่งเทคโนโลยีความปลอดภัย  บริษัท  เกียรติธนาขนส่ง  จำกัด (มหาชน) หรือ KIAT ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (MAI) รุกก่อตั้ง บริษัท เคจีพี จำกัด บริษัทใหม่ในกลุ่มเกียรติธนาขนส่ง
ผู้ให้บริการด้านโซลูชั่นความปลอดภัยและการปรับปรุงประสิทธิภาพด้านการขับขี่ของผู้ขับขี่รถบรรทุก ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย โดยได้รับแต่งตั้งเป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายเทคโนโลยีจาก Guardian System ประเทศออสเตรเลียอย่างเป็นทางการ แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย พร้อมแนะนำระบบป้องกันอุบัติเหตุจากการละสายตาและการหลับในของผู้ขับขี่รถบรรทุกขนาดใหญ่ เทคโนโลยีใหม่ล่าสุด เป็นการนำร่องในธุรกิจขับขี่ปลอดภัยของบริษัทในกลุ่ม KIAT  ตั้งเป้าเติบโตรวม 10%  ในปีนี้

นายคีรินทร์ ชูธรรมสถิตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เกียรติธนาขนส่ง จำกัด (มหาชน) หรือ KIAT

นายคีรินทร์ ชูธรรมสถิตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เกียรติธนาขนส่ง จำกัด (มหาชน) หรือ KIAT ผู้นำด้านการให้บริการโซลูชั่นโลจิสติกส์ และการขนส่งวัตถุอันตราย และสินค้าพิเศษในประเทศไทย เปิดเผยว่าบริษัทฯ ได้ก่อตั้ง บริษัท เคจีพี จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียน 62.5 ล้านบาท เป็นบริษัทใหม่ในกลุ่มเกียรติธนาขนส่ง เพื่อดำเนินธุรกิจเป็นผู้ให้บริการโซลูชั่นด้านความปลอดภัยและการปรับปรุงประสิทธิภาพการขับขี่ของผู้ขับขี่รถบรรทุกด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ซึ่งเป็นหนึ่งในเป้าหมายการเติบโต พร้อมทั้งพัฒนาธุรกิจใหม่ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจปัจจุบัน ควบคู่กับการเติบโตในธุรกิจหลักของบริษัทฯ โดยมุ่งยกระดับมาตรฐานการขนส่งของประเทศสู่มาตรฐานสากล โดยเฉพาะมาตรฐานด้านความปลอดภัย

KIAT กำหนดทิศทางในการดำเนินธุรกิจ เติบโตรวม 10% ในปี 2560 นี้
และตั้งเป้าเติบโตต่อเนื่องจากธุรกิจใหม่

นอกเหนือจากการเติบโตจากธุรกิจหลักในฐานะผู้ให้บริการโซลูชั่นโลจิสติกส์และการขนส่งวัตถุอันตราย และสินค้าพิเศษ ธุรกิจใหม่ภายใต้บริษัท เคจีพี จำกัด ตอบโจทย์ด้านความปลอดภัย ซึ่งในประเทศไทยยังไม่มีเทคโนโลยีที่ช่วยป้องกันเรื่องการขับขี่ปลอดภัยโดยตรง โดยเฉพาะกับรถบรรทุกขนส่งที่ต้องการความปลอดภัยระดับสูงสุด” นายคีรินทร์กล่าว
เกียรติธนาขนส่ง รุกขยายธุรกิจ ตั้งบริษัทลูก ลุยธุรกิจโซลูชั่นขับขี่ปลอดภัยด้วยเทคโนโลยี

ย้ำอุบัติเหตุกว่า 70% มาจากพฤติกรรมของผู้ขับขี่รถ
เปิดตัวโซลูชั่นใหม่ Guardian System ป้องกันอุบัติเหตุด้วยเทคโนโลยี

กล้องอัจฉริยะพร้อมระบบเตือนภายในห้องโดยสารแบบเรียลไทม์ได้ผลจริง
ล่าสุด บริษัท เคจีพี จำกัด ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ ให้เป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายสินค้าและเทคโนโลยีทั้งหมดจาก Guardian System
แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย พร้อมได้นำระบบป้องกันอุบัติเหตุจากการละสายตาและการหลับในของผู้ขับขี่รถบรรทุกขนาดใหญ่ เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดจาก Guardian System เข้ามาทำตลาดในประเทศ เพื่อเป็นการนำร่องในธุรกิจขับขี่ปลอดภัยของบริษัทในกลุ่ม KIAT โดยระบบดังกล่าวเป็นโซลูชั่นป้องกันอุบัติเหตุ

ตั้งแต่ในห้องโดยสารของผู้ขับขี่รถบรรทุกขนาดใหญ่ ทั้งนี้ KIAT คาดหวังว่าระบบดังกล่าว จะช่วยยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยของระบบการขนส่งบนท้องถนนในประเทศและช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุจากการขนส่งในทุกภาคอุตสาหกรรมของประเทศ

นายเมฆ มนต์เสรีนุสรณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เคจีพี จำกัด

ทางด้าน นายเมฆ มนต์เสรีนุสรณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เคจีพี จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้การขนส่งสินค้าบนท้องถนนมีความปลอดภัยนั้น
นอกจากความพร้อมในด้านตัวรถที่ต้องมีมาตรฐานสูงแล้ว ผู้ขับขี่รถ ยังถือเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่มีความสำคัญ รวมไปถึงสภาพแวดล้อมอื่นๆ บนท้องถนน ซึ่งจากข้อมูลของกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง พบว่ากว่า 70 % ของสาเหตุหลักของการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนเกิดจากพฤติกรรมของผู้ขับขี่ ได้แก่ การขับรถเร็วเกินกำหนด การละสายตา การหลับใน และสาเหตุอื่น ๆ
สาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุทำให้มีการกำหนดมาตรการต่าง ๆ เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ เช่น การควบคุมชั่วโมงการขับขี่และการพักผ่อน การจัดหลักสูตรขับขี่ปลอดภัย นโยบายหยุดงาน การย้ำเตือน การสุ่มตรวจ รวมถึงการใช้อุปกรณ์และเทคโนโลยี เช่น อุปกรณ์ GPS และ กล้อง IVMS ซึ่งยังไม่สามารถช่วยแก้ปัญหาตั้งแต่ต้นเหตุที่ผู้ขับขี่ได้ บริษัท เคจีพี จำกัด จึงได้นำระบบป้องกันอุบัติเหตุจากการละสายตาและการหลับในของผู้ขับขี่รถบรรทุกขนาดใหญ่ เทคโนโลยีใหม่ล่าสุด จาก Guardian System เข้ามาแนะนำให้กับผู้ประกอบการ หลังจากได้ทดลองใช้จริงกับรถขนส่งทุกคันของ KIAT เราเชื่อมั่นว่าเทคโนโลยีนี้จะช่วยยกระดับมาตรฐานการขับขี่ปลอดภัยของรถบรรทุกขนาดใหญ่เพื่อการขนส่งของประเทศ เพื่อความปลอดภัยให้กับคนในภาคอุตสาหกรรมขนส่งในประเทศและสังคมโดยรวม” นายเมฆกล่าว

นายเมฆ กล่าวต่อ เบื้องต้น บริษัทฯ ได้แนะนำระบบป้องกันอุบัติเหตุจากการละสายตาและการหลับในของผู้ขับขี่รถบรรทุกขนาดใหญ่ เทคโนโลยีใหม่ล่าสุด จาก Guardian System ซึ่งเป็นโซลูชั่นด้านความปลอดภัยของผู้ขับขี่รถบรรทุกด้วยเทคโนโลยี โดยระบบดังกล่าวประกอบด้วย กล้องจับสายตาของผู้ขับขี่ กล้องส่องถนน อินฟราเรท กล่องรับสัญญาณ มอเตอร์สั่นใต้ที่นั่งผู้ขับขี่ และกล่องประมวลผล ชุดอุปกรณ์ที่ติดตั้งภายในห้องโดยสารของผู้ขับขี่นี้จะทำหน้าที่ตรวจสอบคนขับพร้อมส่งเสียงเตือนผู้ขับขี่แบบ Real Time ตลอดเวลาของการขับขี่ ด้วยการสื่อสารผ่านดาวเทียมส่งข้อมูลและบันทึกภาพเคลื่อนไหวของผู้ขับขี่ตลอดการปฏิบัติหน้าที่แบบ Real Time ซึ่งจะมีการตรวจสอบและประมวลผลตลอดเวลา ทันทีที่ตรวจพบเหตุการณ์ที่จะ

นำไปสู่ความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการละสายตาหรือการเหนื่อยล้า หรือการหลับในของผู้ขับขี่ ระบบจะส่งสัญญาณไปที่มอเตอร์ให้ทำการสั่นเตือนจากใต้ที่นั่งของคนขับพร้อมส่งเสียงเตือนผู้ขับขี่ ในขณะเดียวกัน ระบบก็จะส่งรายงานเหตุการณ์ไปยัง SafeGuard Center ซึ่งเป็นศูนย์ปฏิบัติการกลางของ Guardian System เพื่อวิเคราะห์เหตุการณ์ ก่อนส่งกลับมาให้ผู้ประกอบการที่ใช้ระบบดังกล่าว โดยกระบวนการทั้งหมดนี้ จะใช้เวลาทั้งหมดเพียง 2 นาที โดยที่ทีมงานบริหารการขนส่งของผู้ประกอบการสามารถตรวจสอบรถบรรทุกทุกคันของบริษัทผ่านการเชื่อมต่อทาง Internet ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

การนำระบบป้องกันอุบัติเหตุจากการละสายตาและการหลับในของผู้ขับขี่รถบรรทุกขนาดใหญ่ จาก Guardian System มาใช้นี้ นับเป็นการมีส่วนสนับสนุนนโยบายของภาครัฐในการรณรงค์เรื่องความปลอดภัยและลดอุบัติเหตุบนท้องถนน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยยกระดับมาตรฐานธุรกิจการขนส่งในประเทศสู่ระดับสากล ขับเคลื่อนให้ธุรกิจขนส่งไทยเติบโตบนรากฐานความมั่นคงอย่างยั่งยืน

ระบบป้องกันอุบัติเหตุจากการละสายตาและการหลับในของผู้ขับขี่รถบรรทุกขนาดใหญ่ จาก Guardian System มีให้เลือกใช้บริการ 2 รูปแบบ คือ การซื้อระบบ หรือ การใช้บริการระบบประจำแบบรายเดือน
กรณีซื้อระบบ ราคาอุปกรณ์เริ่มต้นที่ 59,500 บาท ต่อคัน และมีค่าใช้บริการโปรแกรม SafeGuard เดือนละ 2,000 บาทต่อคัน

กรณีใช้บริการระบบประจำแบบรายเดือน ราคาค่าใช้บริการอุปกรณ์และค่าใช้บริการโปรแกรม Safe Guard ราคาเริ่มต้นเดือนละ 4,500 บาท

ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อเบอร์โทรศัพท์ 0-2501-7330-8

Spice Up Thailand 2017

ทีเส็บ จับมือ วีซ่า และ ททท.
เปิดตัวโครงการ
Spice Up Thailand 2017
กระตุ้นนักเดินทางกลุ่มไมซ์ผ่านการตลาดดิจิทัล

ทีเส็บ หรือ สำนักงาน ส่งเสริมการจัดประชุม และนิทรรศการ ( องค์การมหาชน) ร่วมกับ บริษัท วีซ่าอินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด, การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน), บริษัท
ไทยสมายล์แอร์เวย์ จำกัด และกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดตัวโครงการ Spice Up Thailand 2017 (สไปซ์ อัพ ไทยแลนด์ 2017) อย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 มอบอภิสิทธิ์สุดพิเศษให้นักเดินทางกลุ่มไมซ์ อาทิ ส่วนลดสำหรับที่พักโรงแรม 10% ส่วนลดสำหรับบริการ รถเช่ารับ-ส่งสนามบิน 50% คูปองส่วนลด  สำหรับการช้อปปิ้ง 500 บาท ส่วนลดสำหรับร้านอาหาร 25% และส่วนลดค่ากรีนฟีสนามกอล์ฟ 50% เป็นต้น จากโรงแรม,สปาและโปรแกรมแพ็กเกจฟื้นฟูสุขภาพ, ช้อปปิ้ง,  ร้านอาหารต่างๆ, กอล์ฟ, บริการรับส่งและเช่ารถจากสนามบิน, บริการรถลีมูซีน, Tourist SIM Card และแพ็กเกจห้องประชุม เป็นต้น

 

 

นายนพรัตน์ เมธาวีกุลชัย ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ

นายนพรัตน์ เมธาวีกุลชัย ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ เปิดเผยว่า”การส่งเสริมธุรกิจไมซ์ผ่านกลยุทธ์การตลาดออนไลน์เป็นเครื่องมือสำคัญที่ทีเส็บใช้เป็นช่องทางกระตุ้นตลาดนักเดินทางกลุ่มไมซ์ทั้งในและต่างประเทศ สอดรับกับนโยบายส่งเสริม Digital Economy (ดิจิตอล อีโคโนมี่) ของรัฐบาลเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจไมซ์ให้เติบโตและเป็นกลไกสำคัญของการสร้างเศรษฐกิจระดับมหภาค ทีเส็บดำเนินงานแคมเปญ Spice Up Thailand ร่วมกับ 5 พันธมิตร เพื่อกระตุ้นตลาดไมซ์ในต่างประเทศ สร้างความประทับใจและมอบประสบการณ์ที่ดีให้แก่นักเดินทางกลุ่มไมซ์ตลอดจนเป็นการกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายและขยายระยะเวลาพำนักในประเทศไทยให้เพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ได้ดำเนินงานโครงการมาเป็นเวลาถึง 3 ปี มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในด้านการเพิ่มสิทธิพิเศษให้แก่นักเดินทางกลุ่มไมซ์ในประเทศเป้าหมายหลักอย่างตลาดไมซ์เอเซียและกลุ่ม CLMV

คุณสริตา จินตกานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ

โดยปีที่ผ่านมามีจำนวนงานไมซ์ 46 งาน จาก 16 บริษัทของผู้จัดงาน ลงทะเบียนร่วมแคมเปญฯ  มีจำนวนการแลกรับคูปอง ( Redeem Coupon ) ประมาณ 43,000 ครั้ง สามารถสร้างการรับรู้ผ่านสื่อออนไลน์ต่างๆ กว่า 20 ล้านวิว  โดยสินค้าและบริการที่ได้รับความนิยมสูงสุด 5 อันดับของการแลกรับได้แก่ ร้านอาหารช้อปปิ้ง แหล่งท่องเที่ยวสปา และบริการรถเช่ารับ-ส่งสนามบิน ด้านนักเดินทางกลุ่มไมซ์  ที่มียอดการแลกรับคูปองเพื่อใช้สิทธิพิเศษของสินค้าและบริการต่างๆ ของแคมเปญสูงสุด 10 อันดับ ได้แก่ จีน อินเดีย สิงคโปร์เวียดนาม  สหรัฐอเมริกา ฮ่องกง  ปากีสถาน ออสเตรเลีย แอลจีเรียและไทย  และในปี 2017 นี้ แคมเปญ Spice Up Thailand ได้รับความสนใจจากกลุ่มผู้จัดงาน  ลงทะเบียนเข้าร่วมเป็นพันธมิตรโครงการ
กว่า 60 งาน ”

นายสุริพงษ์ ตันติยานนท์ ผู้จัดการวีซ่าประจำประเทศไทย กล่าวว่า
“ทางวีซ่าได้คัดสรรสิทธิพิเศษที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์และความต้องการของนักเดินทางกลุ่มไมซ์จากทั่วโลกรวมทั้งนักเดินทางกลุ่มไมซ์ในประเทศไทยด้วยโดยสิทธิพิเศษในปีนี้มีทั้งรับฟรีของสมนาคุณหรือบัตรกำนัลและส่วนลดสูงสุดถึง50%, จากร้านอาหารห้างสรรพสินค้าสปา/wellness สนามกอล์ฟบริการรถรับส่ง รถเช่า สถานที่พักผ่อนหย่อนใจอื่นๆที่เข้าร่วมรายการและที่พิเศษเพิ่มขึ้นในปีนี้ ได้แก่ ทุกครั้งที่จองโรงแรมในประเทศไทย ผ่าน www.booking.com/visain และชำระเงินด้วยบัตรวีซ่าจะได้รับคูปองส่วน
ลดคิง-เพาเวอร์มูลค่า7% จากราคาที่จองทุกรายการ นอกจากนี้
วีซ่าได้ร่วมกับ Thai Travel Center (ไทย ทราเวล เซ็นเตอร์) และ
Asia-Discovery (เอเชีย ดิสคัฟเวอรี่) เสนอทางเลือกให้กับนักเดินทางกลุ่มไมซ์ที่ต้องการพักผ่อนต่อ และสามารถเลือกแพ็กเกจท่องเที่ยวเส้นทางต่างๆในประเทศไทยในราคาพิเศษหรือรับสิทธิพิเศษเพิ่มเติมอื่นๆซึ่งนอกจากสิทธิพิเศษในฐานะนักเดินทางไมซ์โดยเฉพาะแล้ววีซ่ายังมีโปรแกรมสิทธิพิเศษ อีกมากมายที่เตรียมไว้สำหรับผู้ถือบัตรวีซ่าทั้งคนไทยและต่างชาติรวมถึงสิทธิพิเศษเฉพาะสำหรับนักเดินทางไมซ์ชาวจีนซึ่งเป็นกลุ่มที่มีสถิติการ
ใช้สิทธิพิเศษสูงเป็นอันดับแรกในปีที่ผ่านมา”

นายสุริพงษ์ ตันติยานนท์ ผู้จัดการวีซ่าประจำประเทศไทย
คุณนพดล ภาคพรต รองผู้ว่าการด้านสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย

นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย  กล่าวว่า
“ในภาคอุตสาหรรมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เห็นได้ชัดว่า กลุ่มนักเดินทางไมซ์เป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพ มีกำลังใช้จ่ายสูง การจับจ่ายใช้สอยของนักเดินทางกลุ่มนี้ นอกเหนือจากการใช้จ่ายในการเดินทางมางานประชุมหรืองานแสดงสินค้าแล้ว ยังใช้จ่ายในส่วนกิจกรรมสันทนาการต่างๆ ด้วย  ททท. จึงมีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้เข้าร่วมเป็นหนึ่งในพันธมิตรหลักให้การสนับสนุนกิจกรรมโครงการ Spice Up Thailand 2017 เป็นครั้งที่ 4 ติดต่อกัน เพื่อกระตุ้นการเดินทางของนักเดินทางกลุ่มไมซ์ และเพื่อเป็นการส่งเสริมประเทศไทยให้เป็นหนึ่งในประเทศจุดหมายปลายทางไมซ์ที่ดีที่สุดในโลก ที่สามารถผสมผสานแผนการเดินทางเชิงธุรกิจเข้ากับกิจกรรมเชิงพักผ่อนได้เป็นอย่างดี โดยแคมเปญนี้นำเสนอสิทธิพิเศษของสินค้าและบริการที่อำนวยความสะดวกให้นักเดินทางไมซ์ และช่วยให้ขยายระยะเวลาพำนักในประเทศไทยจากการใช้เวลาท่องเที่ยวพักผ่อนหลังจากเสร็จสิ้นทริปเดินทางธุรกิจ ไม่เพียงแต่ส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมไมซ์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในภาพรวมอีกด้วย”

คุณอรอนงค์ สุดกังวาล ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์ และวิเคราะห์การตลาด บริษัท ไทยสมายล์แอร์เวย์ จำกัด

และเพื่อเป็นการกระตุ้นให้นักเดินทางกลุ่มไมซ์ร่วมกิจกรรมดาวน์โหลดคูปอง privilege จาก โครงการ Spice Up Thailand  ให้มากยิ่งขึ้น ทีเส็บ
จึงได้จัดกิจกรรมออนไลน์ แคมเปญ Plan More, Enjoy More (แพลน มอร์, เอ็นจอย มอร์) ให้นักเดินทางกลุ่มไมซ์ร่วมกิจกรรม  ออกแบบแผนการเดินทางของตนเอง และแชร์ประสบการณ์ผ่านโซเชียลมีเดียทาง
Facebook  (เฟซบุ๊ก) หรือ
Twitter Hashtag #PlanMoreEnjoyMore #SpiceUpThailand

ผู้ที่ได้ยอด Like & Share มากที่สุด จะได้รับตั๋วเครื่องบินไปกลับระหว่างประเทศจากสายการบินไทย 1 รางวัล 2 ที่นั่ง (โดยจะต้องเป็นประเทศที่
มีเส้นทางบินของสายการบินไทยเท่านั้น ) กิจกรรมนี้จะจัดขึ้น ช่วงเดือน พฤษภาคม-กรกฎาคม 2560

ทั้งนี้นักเดินทางกลุ่มไมซ์สามารถรับสิทธิประโยชน์จากโครงการได้อย่างสะดวกด้วยการลงทะเบียน และดาวน์โหลด Spice Up Privilege Coupon ผ่านช่องทางเว็บไซต์ ของโครงการ
www.spiceupthailand.com หรือรับSpice Up Privilege Coupon Booklet ที่จุดลงทะเบียนเข้างาน และแสดง Spice Up Privilege เพื่อรับสิทธิประโยชน์จากบริการร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ ตั้งแต่เดือนนี้-ธันวาคม 2560
สอบถามและติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
www.spiceupthailand.com


งานแถลงข่าว เปิดตัวแคมเปญ Spice up Thailand 2017
ในงานได้รับเกียรติจาก สริตา จินตกานนท์, ธวัชชัย กิตติศรีบูรณ์กุล, สุริพงษ์ ตันติยานนท์, นพดล ภาคพรต, มาลี โชคล้ำเลิศ และ อรอนงค์ สุดกังวาล มาร่วมงาน  ณ ห้องบอลลูม โรงแรมโซ โซฟิเทล แบงค็อก เมื่อเร็วๆนี้

วันอังคารที่ 4 เมษายน 2560 เวลา 18.00-20.00 น.
โครงการ จัดขึ้น ณ ห้อง Ballroom ชั้น 8 โรงแรม Sofitel So Bangkok สาทร

 

 

 

Beauty Industry Networking Night

สภาอุตสาหกรรม ร่วมกับ อิมแพ็ค
จัดงาน 
Beyond Beauty ASEAN-Bangkok 2017 

 

ตอบรับตลาดความงามมูลค่ากว่า 2.8 แสนล้านบาทโตสวนกระแสเศรษฐกิจสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยร่วมกับ อิมแพ็ค เมืองทองธานี และอินฟอร์ม่า เอ็กซิบิชั่น เตรียมจัดงาน Beyond Beauty ASEAN-Bangkok 2017 หรืองานแสดงสินค้าและเจรจาธุรกิจด้านสุขภาพความงามที่ครบวงจรที่สุดในภูมิภาคอาเซียน บนพื้นที่กว่า 20,000 ตารางเมตรตอบรับตลาดความงามและเครื่องสำอางที่มีมูลค่ากว่า 2.8 แสนล้านบาท เติบโตสวนกระแสเศรษฐกิจติดอันดับ 1 ใน10 ของโลกในช่วง3-5 ปี โดยงานจัดขึ้นวันที่21-23 กันยายน 2560 ณ อาคารชาเลนเจอร์ 3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี คาดมีผู้เข้าร่วมแสดงสินค้าทั้งไทยและต่างประเทศรวม650 บูธกว่า 1,500 แบรนด์ชั้นนำ พร้อมผู้ร่วมเจรจาธุรกิจและชมงานกว่า 20,000 รายจากทั่วโลก สร้างเม็ดเงินสะพัดตลอด 3 วันของการจัดงานสูงกว่า 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ1,750 ล้านบาท

นายเชิญพร เต็งอำนวยรองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเปิดเผยว่า สภาอุตสาหกรรมพยายามสร้างเครือข่ายอุตสาหกรรมภายในประเทศให้มีความเข้มแข็ง ส่งเสริมการใช้วัตถุดิบในประเทศให้มากขึ้น รวมถึงพัฒนาขีดความสามารถในด้านการตลาด การค้าและการลงทุน การสร้างองค์ความรู้ เทคโนโลยีและนวัตกรรมของอุตสาหกรรมไทย โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการขนาดเล็ก (SMEs) ซึ่งเป็นกลุ่มที่ต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างมากเพื่อให้สามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้อย่างเข้มแข็ง โดยในปีนี้การแข่งขันจะรุนแรงมากขึ้นเนื่องจากการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ทั้งนี้สภาอุตสาหกรรมฯเชื่อว่างาน Beyond Beauty ASEAN-Bangkok 2017(BBAB2017) จะเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่จะช่วยขับเคลื่อนนโยบายหลักในการส่งเสริมผู้ค้ารายย่อยและพัฒนาศักยภาพของผู้ผลิตไทยให้สามารถแข่งขันในระดับภูมิภาคได้อย่างมีศักยภาพ

นางเกศมณีเลิศกิจจารองเลขาธิการสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และประธานกิตติมศักดิ์ กลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องสำอางกล่าวว่าอุตสาหกรรมความงามของโลกยังคงเติบโตต่อเนื่อง มาจากประชากรวัยทำงานอันเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อสูงเพิ่มจำนวนขึ้น ส่งผลให้สินค้าอุปโภคบริโภคด้านสุขภาพและความงามได้รับความนิยมมากขึ้นจากความต้องการของกลุ่มคนที่อยู่ในวัยที่ดูแลรักษาสุขภาพอย่างมาก ซึ่งปัจจุบันกลุ่มธุรกิจความงามและสุขภาพมีมูลค่าตลาดในประเทศสูงถึง 2.8 แสนล้านบาท ส่วนตลาดส่งออกสามารถทำรายได้ให้ประเทศถึง 40% หรือกว่า 1.12แสนล้านบาทส่วนในเวทีโลกไทยครองอันดับที่ 17ในฐานะผู้ผลิตและส่งออกเครื่องสำอางรายสำคัญ ส่วนในเอเชียไทยครองอันดับ 2 และรั้งอันดับ 1 ในระดับอาเซียนอีกด้วย

นายธนวัฒน์ เรืองเทพรัชต์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยแฟชั่นแห่งประเทศไทยกล่าวว่า สถาบันวิจัยแฟชั่นแห่งประเทศไทยหรือ inFASHเป็นสมาชิกกับองค์กรกลางชื่อ อินเตอร์คัลเลอร์ ผู้ดำเนินการจัดการประชุม INTERCOLOR เวทีที่ประเทศชั้นนําด้านการออกแบบของโลกรวมตัวกันเพื่อคาดการณ์แนวโน้มสีวัสดุและเทรนด์การออกแบบในอนาคต ล่วงหน้าก่อนฤดูกาลการวางตลาดของสินค้าเป็นระยะเวลา 24 เดือน เพื่อเป็นแนวทางและแรงบันดาลใจของการออกแบบในหลายอุตสาหกรรม เช่น แฟชั่นสิ่งทอ เครื่องสําอาง การตกแต่งบ้าน ยานยนต์ วัสดุก่อสร้าง อุตสาหกรรมเครื่องเรือน และผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้นสำหรับ inFASH อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของภาครัฐโดยมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ และด้วยองค์ความรู้เหล่านี้สถาบันฯ จึงเข้าร่วมในงาน Beyond Beauty ASEAN-Bangkok ต่อเนื่องเป็นครั้งสอง จัดสัมมนา“Beyond Beauty Trends Conference” ร่วมถ่ายทอดความรู้เรื่องสี วัสดุ และเทรนด์ในอนาคต จากผู้เชี่ยวชาญและทรงคุณวุฒิในแวดวงอุตสาหกรรมแฟชั่นและความงาม อีกทั้งยังร่วมเปิด “Beau Tech – Incubation Zone” เพื่อส่งเสริมให้ผลงานของนักศึกษาเป็นที่รู้จักและสามารถต่อยอดทางธุรกิจอีกด้วย
ด้านนายลอย จุน ฮาว ผู้จัดการทั่วไป บริษัท อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น แมเนจเม้นท์จำกัดกล่าวถึงการจัดงานBeyond Beauty ASEAN-Bangkok ถือเป็นเวทีแสดงสินค้าและเจรจาธุรกิจด้านสุขภาพและความงามที่ครบวงจรที่สุดในภูมิภาคอาเซียนจัดขึ้นต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 4เพื่อผลักดันธุรกิจสุขภาพและความงามให้ก้าวไกล ขานรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนตอบโจทย์ความต้องการของตลาดความงามในปัจจุบันพร้อมโชว์ศักยภาพของผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องสำอาง โดยในปีนี้มีการเปิดตัวโซนสปาและสุขภาพเพื่อให้ครอบคลุมต่อความต้องการของตลาดความงาม อีกทั้งยังสานต่อความร่วมมือกับกลุ่มบริษัทคินเท็กซ์ ผู้นำด้านการจัดแสดงสินค้าจากประเทศเกาหลี นำทัพผู้ประกอบการด้านความงามจากเกาหลีกว่า 250รายร่วมจัดแสดงสินค้าเป็นปีที่ 2 พร้อมกันนี้ ยังจัดสัมมนาวิชาการให้ความรู้เรื่องเทรนด์ความงามและแฟชั่นการประชุม ASEAN RETAIL BEAUTY SUMMIT การสัมมนาเชิงปฎิบัติการเกี่ยวกับการสักบนผิวหนังเพื่อความงาม ตลอดจนcentdegrésบริษัทออกแบบระดับโลกที่มีความเชี่ยวชาญในการสร้างแบรนด์ให้กับสินค้าชั้นนำระดับโลก อาทิ จีวองชีแอร์เมสลองแวงและคาร์เทีย เป็นต้น

สำหรับงาน BBABซึ่งผ่านการรับรองมาตราฐานการจัดงานนิทรรศการจาก UFI หรือสมาคมอุตสาหกรรมการจัดงานแสดงสินค้าโลก โดยในปีที่ผ่านมาได้รับสองรางวัลภายใต้โครงการ ASEAN Rising Trade Show หรือ ART Campaign ของสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ(องค์การมหาชน) หรือทีเส็บ ในสาขา Bestof ASEAN Rising Trade Show และ Best of Highest Growth of ASEAN Pavilion เป็นการการันตีถึงคุณภาพของงาน Beyond Beauty ASEAN-Bangkok ได้เป็นอย่างดีทางคณะผู้จัดฯ จึงมุ่งหวังให้ BBAB 2017จะประสบผลสำเร็จและเป็นจุดนัดพบสำหรับคนในแวดวงอุตสาหกรรมความงามได้พบปะและสร้างเครือข่ายทางธุรกิจที่คนในอุตสาหกรรมสุขภาพและความงาม

อนึ่งงาน Beyond Beauty ASEAN – Bangkok 2017
จัดขึ้นในวันที่ 21 – 23 กันยายน 2560
ณ อาคารชาเลนเจอร์ 3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี
ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
www.beyondbeautyasean.com

 

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร

รับเทรนด์อสังหาฯ ยุค 4.0 เชื่อมโยงเทคโนโลยีสู่การบริการที่เหนือกว่า

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร มั่นใจเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังฟื้น ความเชื่อมั่นผู้บริโภคกลับคืน เปิดโรดแมพธุรกิจปี 60 เสริมแกร่งด้วยการทรานส์ฟอร์มองค์กรเพื่อความเป็นเลิศทั้งด้านบริการและบุคลากร สู่ยุคอสังหาฯ 4.0 ผ่านโปรเจ็กต์สำคัญ อาทิ Big Data และ Total Solution ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลง ท่ามกลางโอกาสและความท้าทาย


นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า โลกก้าวส่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 และ กระแสทางเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงสู่ดิจิตอลอย่างเต็มรูปแบบ (Digital Transformation) เป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ภาคธุรกิจไม่สามารถมองข้ามได้ และท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่ยังคงผันผวน แต่เทคโนโลยีคือพระเอกที่ทำให้เกิดโอกาสทางธุรกิจในแง่มุมที่เปลี่ยนไป ส่งผลให้ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา หลายธุรกิจใช้ความได้เปรียบทางเทคโนโลยีขึ้นมาเป็นผู้นำธุรกิจ ในขณะเดียวกันบางธุรกิจต้องปิดตัวไปเพราะไม่สามารถยืนหยัดได้ จึงมั่นใจได้ว่าเทคโนโลยีเป็นส่วนสำคัญในการสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับผู้บริโภค ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือเม็ดเงินโฆษณาผ่านสื่อดิจิตอลที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากข้อมูลของสมาคมโฆษณาดิจิทัลฯ ระบุว่าสื่อดิจิตอลโตไม่หยุด มูลค่าเม็ดเงินโฆษณาของปี 2559 อยู่ที่ 9,883 ล้านบาท เติบโตขึ้น 22% จากปี 2558

นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ในฐานะผู้นำทางด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร จึงได้กำหนดแผนการดำเนินงานในปี 2560 ภายใต้ยุทธศาสตร์หลักคือก้าวสู่ความเป็นเลิศทั้งด้านบริการและบุคลากรโดยการนำโซลูชั่นทางเทคโนโลยีมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด แบ่งเป็น 3 ด้านสำคัญ ได้แก่

1. วางรากฐาน Big Data สู่การรวมศูนย์ข้อมูล ด้วยประสบการณ์กว่า 20 ปี ทำให้พลัสฯ มีฐานข้อมูลลูกค้าเป็นจำนวนมาก (Big Data) เข้าใจลูกค้าในทุกกลุ่ม จึงเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในการจัดระบบฐานข้อมูลลูกค้า โดยเป็นการรวบรวมข้อมูลพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน ซึ่งมีความหลากหลายและมีปริมาณมหาศาลเพื่อนำมาวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและเกิดประโยชน์สูงสุด อาทิ ข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า ความสนใจในด้านต่างๆ ตลอดจนการพฤติกรรมการเลือกซื้อที่อยู่อาศัย นำมาบริหารจัดการด้วยระบบดิจิตอล เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมการตัดสินใจของผู้บริโภค ความต้องการของผู้ซื้อ ส่งผลให้เกิดการใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลมหาศาลเหล่านี้ในการต่อยอดการทำงานตั้งแต่ต้นน้ำยังปลายน้ำ เกิดการเข้าถึงข้อมูลร่วมกัน สามารถนำข้อมูลที่มีมาใช้ประโยชน์ได้อย่างไร้ขีดจำกัด ช่วยให้พนักงานทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและยกระดับการบริการทั้งด้านงานขาย บริการหลังการขาย งานซ่อมบำรุง การให้คำปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ สามารถดูแลลูกค้าได้เหมาะสมในทุกความต้องการและทุกจังหวะเวลา

2. การขับเคลื่อนธุรกิจด้วย Property Technology (PropTech) ตอบโจทย์การอยู่อาศัยยุคดิจิตอล ผ่านการต่อยอดจากเว็บไซต์ www.plus.co.th ให้เป็นอีกหนึ่งช่องทางในการในการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภค และ www.plussoleagent.com เพื่อเข้าถึงกลุ่มผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์อสังหาริมทรัพย์ ที่ได้เปิดตัวไปเมื่อเร็วๆนี้ ในการนำเสนอบริการให้กับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์หน้าใหม่ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ รวมถึงการดูแลผู้อยู่อาศัยผ่านแอพพลิเคชั่นที่เรียกว่า Home Service Application เป็นแอพพลิเคชั่นที่ให้บริการลูกบ้านในโครงการ บมจ.แสนสิริ (บริษัทแม่) ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีทั้งจากลูกค้าชาวไทยและชาวต่างชาติ

3. การตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่มด้วย Total Solution (การบริการแบบครบวงจร) เนื่องจากปัจจุบันลูกค้ามีความต้องการที่ซับซ้อนมากขึ้น การบริการที่ครบวงจร ผ่านองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญทางด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เพื่อให้ลูกค้าได้ประโยชน์สูงสุดเป็นสิ่งที่พลัสฯ ให้ความสำคัญมาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด ได้จัดตั้งหน่วยงานขึ้นมาใหม่เพื่อดูแลลูกค้าต่างประเทศโดยเฉพาะ อาทิ กลุ่มลูกค้าชาวจีน ฮ่องกง ไต้หวัน ญี่ปุ่น และสิงคโปร์ ตลอดจนเป็นการสนับสนุนโครงการของแสนสิริที่เปิดการขายโครงการในต่างประเทศ โดยทีมพิเศษนี้สามารถให้คำปรึกษารอบด้าน ในการบริหารทรัพย์สินให้พร้อมใช้งานและมีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น โดยให้คำปรึกษาทั้งด้าน การคำนวณทิศทางราคาอสังหาริมทรัพย์ในอนาคต ดูแลจัดการด้านการปล่อยเช่า การหาผู้เช่าให้กับลูกค้า รวมถึงช่วยประสานงานกับเอเจนซี่ในต่างประเทศ ในรูปแบบ One Stop Service

“การแข่งขันในโลกธุรกิจปัจจุบัน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับขนาดของธุรกิจ แต่เป็นการนำนวัตกรรมและไอเดียมาสร้างเป็นโมเดลธุรกิจที่เพิ่มคุณค่าและสร้างมูลค่าให้กับสินค้าและบริการ พลัสฯ มั่นใจว่าแผนงานดังกล่าวข้างต้น จะเป็นรากฐานที่สำคัญสู่การเติบโตในอนาคต ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้บริษัทฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และรองรับเทรนด์ใหม่ของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่กำลังมาแรงในภูมิภาคนี้ ซึ่งแม้ว่าเทคโนโลยีจะเข้ามามีบทบาทกับพฤติกรรมผู้บริโภคแต่หากเรามีการพัฒนาตัวเองให้เท่าทันอยู่เสมอ และนำมาซึ่งการบริการที่ดีที่สุดแก่ลูกค้า เชื่อว่าลูกค้าก็จะยังมีความต้องการใช้บริการในรูปแบบที่ต้องมีที่ปรึกษาที่มีความเชี่ยวชาญและไว้ใจได้ ดังนั้นเราจึงจะมุ่งมั่นจะพัฒนาตัวเอง เพื่อให้เป็นบริษัทที่อยู่ในใจของลูกค้าตลอดไป”

สำหรับทิศทางเศรษฐกิจของประเทศไทยนั้น คาดว่าจะพื้นตัวในครึ่งปีหลัง จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ หากพิจารณาในส่วนของภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของไทยเป็นอีกปีที่ท้าทาย ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์มีแนวโน้มดีขึ้นเล็กน้อย ตามปัจจัยบวกจากโครงการลงทุนโครงข่ายคมนาคมของภาครัฐ โดยเฉพาะรถไฟฟ้าเส้นทางต่างๆ รวมถึงการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษในต่างจังหวัด

“ในปีนี้ยังคงเห็นโครงการใหม่ๆ เปิดตัวสู่ตลาด ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นโครงการระดับบน และที่น่าสนใจคือโครงการระดับ Super Luxury จะเป็นดีมานด์เพื่อการอยู่อาศัยจริง จากแนวโน้มความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในพื้นที่ใจกลางเมือง สอดคล้องกับข้อมูลราคาขายโดยเฉลี่ยของโครงการคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ ในพื้นที่ศูนย์กลางธุรกิจ ที่มีอัตราการเติบโตโดยเฉลี่ย โดดเด่นกว่าราคาขายของโครงการพื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นกลาง และพื้นที่รอบนอกกรุงเทพฯ และอีกประเด็นหนึ่งที่น่าจับตามองคือการบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จะมีการนำที่ดินที่มีอยู่แล้ว (Land Bank) ออกมาพัฒนาเร็วขึ้น ทั้งในโซนสุขุมวิท อโศก หรือทองหล่อ ส่วนหนึ่งคือการปรับกลยุทธ์ขยายฐานลูกค้าในกลุ่มพรีเมี่ยมที่มีการเติบโตสูงและยังมีความต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริงและลงทุนในระยะยาว” นายอนุกูล กล่าว

ปี 2559 บริษัทฯ มีรายได้รวม 970 ล้านบาท อยู่ในรับทรงตัวเมื่อเทียบกันปีก่อนหน้า และสอดคล้องกับภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์ โดยรายได้ดังกล่าวมาจากธุรกิจบริหารสินทรัพย์ (ตัวแทนซื้อ-ขาย-เช่าอสังหาฯ) 40% และอีก 60% เป็นรายได้จากธุรกิจบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพักอาศัยและเพื่อการพาณิชย์ ปัจจุบันมีโครงการที่บริหารทั้งสิ้น 188 โครงการ

เว็บไซต์ www.plus.co.th

 

นวัตกรรมที่ทำให้ Samsung อยู่แนวหน้าของโลก

นวัตกรรมสุดล้ำผสานโซลูชั่นที่ดีเยี่ยม
นิยามใหม่…ของระบบการชำระเงินในเมืองไทย

Samsung Pay แพลตฟอร์มการชำระเงินผ่านโทรศัพท์มือถือเป็นครั้งแรกในประเทศไทย นวัตกรรมการชำระเงินรูปแบบใหม่ เปิดตัวแล้ว  “ซัมซุง เพย์”  (Samsung Pay)  ช่วยผลักดันประเทศไทยไป   สู่สังคมไร้เงินสด  (Cashless  Society)   ตามยุทธศาสตร์ National e-Payment  ของรัฐบาล โดยมีภาครัฐ  พันธมิตรทางการเงิน และร้านค้าชั้นนำเข้าร่วม เพื่อสนับสนุนระบบการชำระเงินรูปแบบใหม่ ผ่านสมาร์ทโฟน หลังผู้บริโภคไทยให้การตอบรับซัมซุง เพย์ อย่างดีเยี่ยม หลังเปิดให้ใช้งานในไทยเมื่อ เดือน ต.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งซัมซุง พร้อมจะขยายพื้นที่การให้บริการระบบซัมซุง เพย์ ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ เอื้อต่อการใช้งานของผู้บริโภคชาวไทยยิ่งขึ้น

นายวิชัย พรพระตั้ง  รองประธานองค์กร  ธุรกิจโทรคมนาคมและไอที บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด กล่าวว่า ซัมซุงเริ่มให้ผู้บริโภคไทยได้ใช้งานซัมซุง เพย์ ระบบการชำระเงินรูปแบบใหม่  ผ่านสมาร์ทโฟน ที่ใช้ง่าย ปลอดภัย ครอบคลุมมากที่สุด ตั้งแต่เมื่อ 4 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งได้รับความร่วมมือจากพันธมิตรทางการเงินชั้นนำ ไม่ว่าจะเป็น มาสเตอร์การ์ด วีซ่า ธนาคารกรุงเทพ กรุงศรี คอนซูมเมอร์  ธนาคารกสิกรไทย เคที ซี ซิตี้แบงก์ และธนาคารไทยพาณิชย์ อีกทั้งยังได้รับการสนับสนุน  เพื่อให้บริการซัมซุง เพย์ ได้อย่างสมบูรณ์ จาก
ห้างสรรพสินค้า และร้านค้าชั้นนำทั่วประเทศ

มิส แอล คิม รองประธานกลุ่มธุรกิจการชำระเงิน ซัมซุง อิเลคโทรนิคส์

นวัตกรรมการชำระเงินรูปแบบใหม่ เปิดตัวแล้ว  “ซัมซุง เพย์” (Samsung Pay) ช่วยผลักดันประเทศไทยไป
สู่สังคมไร้เงินสด  (Cashless  Society)   ตามยุทธศาสตร์ National e-Payment ของรัฐบาล โดยมีภาครัฐ  พันธมิตรทางการเงิน และร้านค้าชั้นนำเข้าร่วม เพื่อสนับสนุนระบบการชำระเงินรูปแบบใหม่ ผ่านสมาร์ทโฟน หลังผู้บริโภคไทยให้การตอบรับซัมซุง เพย์ อย่างดีเยี่ยม หลังเปิดให้ใช้งานในไทยเมื่อเดือน ต.ค.  ที่ผ่านมา
ซึ่งซัมซุง พร้อมจะขยายพื้นที่การให้บริการระบบซัมซุง เพย์ ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ เอื้อต่อการใช้งานของ
ผู้บริโภคชาวไทยยิ่งขึ้น
นายวิชัย พรพระตั้ง  รองประธานองค์กร ธุรกิจโทรคมนาคมและไอที บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด กล่าวว่า ซัมซุงเริ่มให้ผู้บริโภคไทยได้ใช้งานซัมซุง เพย์ ระบบการชำระเงิ ปแบบใหม่ผ่านสมาร์ทโฟน ที่ใช้ง่าย ปลอดภัย และครอบคลุมมากที่สุด ตั้งแต่เมื่อ 4 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งได้รับความร่วมมือจากพันธมิตรทางการเงินชั้นนำ ไม่ว่าจะเป็น มาสเตอร์การ์ด วีซ่า ธนาคารกรุงเทพ กรุงศรี คอนซูมเมอร์  ธนาคารกสิกรไทย เคทีซี  ซิตี้แบงก์ และธนาคารไทยพาณิชย์ อีกทั้งยังได้รับการสนับสนุน  เพื่อให้บริการซัมซุง เพย์ ได้อย่างสมบูรณ์จากห้างสรรพสินค้า และร้านค้าชั้นนำทั่วประเทศ

นอกเหนือไปจากบัตรเครดิตจากสถาบันการเงินชั้นนำข้างต้นแล้ว ซัมซุง เพย์ ยังรองรับ การใช้งานร่วมกับบัตรกาแล็คซี่ กิฟต์ พรีเพดการ์ดที่ซัมซุง ร่วมนำเสนอกับมาสเตอร์การ์ด รวมถึงบัตรสมาชิกของร้านค้าชั้นนำ  อีกจำนวนมาก เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้บริโภค ด้วยเหตุนี้ ซัมซุง เพย์ จึงได้รับกระแสตอบรับที่ดี  จากผู้บริโภคทั้งในแง่ความสะดวกสบาย และความปลอดภัย เพราะผู้บริโภคไม่จำเป็นต้องพกเงินสด หรือบัตรเครดิตหลายๆ ใบ ลดความเสี่ยงต่อการถูกโจรกรรม และสำคัญที่สุด ซัมซุง เพย์ ยังเป็นระบบการชำระเงินที่เข้ากับแนวคิดสังคมไร้เงินสด ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมทั่วโลก

ซัมซุง เพย์ เป็นนิยามใหม่ของระบบการชำระเงินในเมืองไทย แม้ว่าแนวคิดกระเป๋าเงินดิจิตอล (digital wallet) จะเป็นเรื่องที่ใหม่มากสำหรับผู้บริโภคส่วนใหญ่ในประเทศ แต่ซัมซุง เพย์ ก็ได้รับผลตอบรับที่ค่อนข้างดีจากผู้บริโภค หลังจากเปิดให้บริการเพียง 4  เดือน อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจล่าสุด ชี้ให้เห็นว่า   การใช้ระบบกระเป๋าเงินดิจิตอลเพื่อชำระค่าสินค้าและบริการนั้น มีข้อดีทั้งในด้านความสะดวกสบาย และปลอดภัย แต่คนไทยส่วนใหญ่ให้ความสำคัญในเรื่องความปลอดภัยมากกว่า โดยผู้บริโภคกลุ่มนี้มีแนวโน้มที่จะเลือกใช้วิธีการชำระเงินผ่านระบบกระเป๋าเงินดิจิตอลมากขึ้น เมื่อมั่นใจว่าระบบกระเป๋าเงินดิจิตอลนั้น มีมาตรการรักษาความปลอดภัยอยู่ในระดับที่สูงมากพอ ซึ่งระบบการรักษาความปลอดภัยของซัมซุง เพย์ นั้นได้รับการยอมรับจากพันธมิตรการเงินชั้นนำมากมายว่า มีความปลอดภัยสูงมาก และพันธมิตรทางการเงินเหล่านี้ยังยินดีมอบสิทธิพิเศษเฉพาะผู้ใช้งานซัมซุง เพย์ ถือเป็นเครื่องรับประกันได้เป็นอย่างดี

มิส แอล คิม รองประธานกลุ่มธุรกิจการชำระเงิน ซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ กล่าวว่า ซัมซุงตั้งใจนำเสนอแพลตฟอร์มการชำระเงินที่ทันสมัย รวมถึงระบบกระเป๋าดิจิตอลให้กับผู้บริโภคทั่วโลก จึงรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งที่ได้แนะนำซัมซุง เพย์ สู่ประเทศไทย โดยใช้กลยุทธ์การนำเสนอบริการซัมซุง เพย์ ที่ออกแบบสำหรับประเทศไทยโดยเฉพาะ ซึ่งเป็นแนวคิดที่ซัมซุง ใช้กับตลาดประเทศอื่นๆ เช่นกัน

“เราทำงานร่วมกับพันธมิตรต่างๆ เพื่อผลักดันการใช้งานระบบการชำระเงินผ่านสมาร์ทโฟน ที่ทั้งรวดเร็ว และปลอดภัยในประเทศไทย และเราคาดหวังว่า ซัมซุง เพย์ จะช่วยให้ชีวิตประจำวันของผู้บริโภคชาวไทยสะดวก ง่าย และรวดเร็วกว่าที่เคย”


ซัมซุง เพย์ การชำระเงินรูปแบบใหม่ผ่านสมาร์ทโฟน โดดเด่นด้วยคุณสมบัติ 3 ประการ ได้แก่

1.ใช้ง่าย หลังจากลงทะเบียนใช้งานซัมซุง เพย์ แล้ว เมื่อต้องการชำระเงิน ก็แค่หยิบสมาร์ทโฟนออกมา เลือกบัตรที่ต้องการ สแกนลายนิ้วมือยืนยันตัวตน และแตะสมาร์ทโฟนกับเครื่องรูดบัตร เพียงเท่านี้ก็สามารถจับจ่ายใช้สอยได้อย่างง่ายดาย

2.ปลอดภัย อุ่นใจด้วยระบบโทเคน (Tokenization) ที่สร้างเลขบัตรดิจิตอล แทนการใช้เลขบัตรเครดิตจริงในการชำระเงิน ปลอดภัยขึ้นอีกขั้นด้วยระบบยืนยันตัวตนผ่านลายนิ้วมือทุกครั้งที่ชำระเงิน และระบบรักษาความปลอดภัยชั้นหนึ่ง คือ ซัมซุง น็อกซ์ (Samsung Knox) ตู้เซฟที่ช่วยปกป้องข้อมูล ตั้งแต่ระดับฮาร์ดแวร์จนถึงซอฟต์แวร์ ซึ่งยังไม่มีผู้ผลิตสมาร์ทโฟนรายใดทำได้

3.ครอบคลุมมากที่สุด เพราะซัมซุง เพย์ รองรับเทคโนโลยี MST (Magnetic Secure Transmission) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเดียวกับเครื่องรูดบัตรเครดิตที่ใช้อย่างแพร่หลายในประเทศไทย และยังรองรับเทคโนโลยี NFC (Near Field Communication) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ของระบบการจ่ายเงินอีกด้วย ไม่ว่าที่ใดที่รับบัตรเครดิต ก็รองรับซัมซุง เพย์ ได้ นอกจากนี้ ยังสามารถใส่บัตรเครดิตได้มากสุดถึง 10 ใบ รวมทุกสิทธิประโยชน์ในเครื่องเดียว โดยไม่จำเป็นต้องพกกระเป๋าสตางค์ หรือบัตรเครดิตให้ยุ่งยากอีกต่อไป

เชิญชวนคนไทย  ให้มาใช้ ซัมซุง เพย์ ผ่านการโฆษณา และการประชาสัมพันธ์ เพื่อชี้ให้เห็นว่า ซัมซุง เพย์ ไม่ใช่เพียงระบบการชำระเงินรูปแบบใหม่ แต่ยังเป็นไลฟ์สไตล์การใช้จ่ายรูปแบบใหม่ของคนไทยที่สะดวกสบาย นอกเหนือจากนี้ กิจกรรมต่างๆ จะมุ่งให้ความรู้ด้านความปลอดภัย อีกทั้งยัง  ทำการสื่อสารการตลาด
ณ. จุดชำระเงิน เพื่อกระตุ้นให้เกิดการใช้งาน รวมถึงการจับมือกับสถาบันการเงินต่างๆ  และ ร้านค้ารายใหม่
เพื่อมอบสิทธิพิเศษให้กับผู้ใช้  ซัมซุง เพย์

การเปิดให้บริการ ซัมซุง เพย์  ในประเทศไทย จะมีส่วนสำคัญช่วยในการปฏิรูปประเทศ   ตามแผนยุทธศาสตร์ National e-Payment และร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรมล้ำหน้า ที่จะมาปฏิวัติการจับจ่ายของคนไทย และสร้างสรรค์สังคมรูปแบบใหม่แบบสังคมไร้เงินสด สุดท้ายนี้ ซัมซุง คาดการณ์ว่า การใช้ซัมซุง เพย์ จะมีแนวโน้มเติบโตอย่างเนื่อง และซัมซุง ยังวางแผนที่จะขยายการใช้งานซัมซุง เพย์ ให้ครอบคลุมบัตรทุกรูปแบบในอนาคต ไม่ว่าจะเป็น บัตรพรีเพดรูปแบบอื่น นอกเหนือจากกาแล็คซี่ กิฟต์, พรีเพดการ์ด และบัตรเดบิต

อะไรคือ superbrands?

Superbrands องค์กรอิสระเพียงหน่วยงานเดียวในโลก

Superbrands เป็นอีกหนึ่งรางวัลที่การันตีตัวแบรนด์ เงื่อนไขการเลือกแบรนด์ที่เป็น Superbrand  ต้องเป็นแบรนด์ที่สร้างชื่อให้กับตัวเองมากที่สุดในประเภทสินค้าเดียวกันโดดเด่น  ในการให้ความสำคัญแก่ความรู้สึกหรือความสะดวกสบายแก่ลูกค้า โดยสิ่งดังกล่าวเป็นสิ่งที่ลูกค้าต้องการไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยอ้อม และเป็นแบรนด์ที่เป็นที่จดจำของสาธารณะ ตลอดจนทำให้ลูกค้ารู้สึกพึงพอใจที่จะจ่ายเงินภาพพจน์ของแบรนด์ และภาพลักษณ์ของสินค้า ความโดดเด่นของแบรนด์ รวมไปถึงเจตนารมณ์ของแบรนด์ ความภักดีของลูกค้าความเชื่อถือและความรู้สึกผูกพันธ์กับสินค้า


Superbrands ได้รับการยอมรับจากนานาชาติว่าเป็นองค์กรอิสระเพียงหน่วยงานเดียวในโลก ที่เป็นผู้ตัดสินด้านความเป็นเลิศด้านการสร้างแบรนด์ รางวัล Superbrands แบรนด์ที่ได้รับการคัดเลือกจะต้องผ่านหลักเกณฑ์ 3 ประการคือ คุณภาพของแบรนด์ ความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์กับผู้บริโภคและเอกลักษณ์ของแบรนด์ ความเป็นสุดยอดแบรนด์ส่งผลให้ได้รับคะแนนโหวตสูงสุด จากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในสายต่างๆ โดยรางวัลในปีนี้มาจากผลสำรวจ และวิจัยผ่านกลุ่มตัวอย่างซึ่งได้จากการวิจัยผ่านผู้บริโภค เป็นรางวัลที่มอบโดยหน่วยงานอิสระที่ทำงานด้านการวัด และประเมินความเป็นเลิศของการสร้างแบรนด์ เพื่อทำการโปรโมทความสำเร็จของแบรนด์ในแต่ละประเทศ และทั่วโลกกว่า 93 ประเทศ โดยมี Superbrands Thailand เป็นองค์กรที่ดำเนินงานในประเทศไทยเป็นประจำทุกปีประกาศและมอบรางวัล Superbrands 2016 ให้กับสุดยอดแบรนด์ของประเทศไทย จำนวนทั้งสิ้น 27 แบรนด์

พิธีมอบรางวัลให้กับแบรนด์ต่างๆ ที่ได้รับเลือกให้เป็น Superbrands ประจำปี 2016

Superbrands Thailand สุดยอดแบรนด์แห่งปี 2016  มาตรฐานการประเมินคุณค่าแบรนด์สินค้า  ในสายตาผู้บริโภค และทำงานด้านการประเมินความสำเร็จในการสร้างแบรนด์ โดยใช้เกณฑ์ในการคัดเลือก 3 หลักเกณฑ์ คือ
1. BRAND QUALITY   (คุณภาพของแบรนด์)
2. BRAND AFFINITY  (ความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์กับผู้บริโภค)
3. BRAND PERSONALITY (เอกลักษณ์ของแบรนด์)

ประกาศรางวัล Brand of the Year 2016 ผู้ได้รับรางวัล Brand of the Year 2016

Superbrands Thailand สุดยอดแบรนด์แห่งปี 2016  มาตรฐานการประเมินคุณค่าแบรนด์สินค้า  ในสายตาผู้บริโภค และทำงานด้านการประเมินความสำเร็จในการสร้างแบรนด์ โดยใช้เกณฑ์ในการคัดเลือก 3 หลักเกณฑ์ คือ
1. BRAND QUALITY   (คุณภาพของแบรนด์)
2. BRAND AFFINITY  (ความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์กับผู้บริโภค)
3. BRAND PERSONALITY (เอกลักษณ์ของแบรนด์)

เมื่อวันพุธที่ 25 มกราคม 2560 Superbrands 2016 @ Life Style Hall, ชั้น 2, Siam Paragon  พิธีมอบ
รางวัล สุดยอดแบรนด์ประจําปี2016 ให้กับ 27แบรนด์ชั้นนําของประเทศไทย ที่ผ่านมา SUPERBRANDS ให้เป็นแบรนด์ยอดนิยม ประกาศรางวัล Brand of the Year 2016  รางวัล SUPERBRANDS 2016 สุดยอดแบรนด์แห่งปี 2016 จาก Mr. Mike English, Managing Director, Superbrands Organisation และคุณปรีชา แก่นพรหม Superbrand Thailand Director ณ ศูนย์การค้าสยามพารากอน

ในวันและเวลาดังกล่าว โดยมีผู้บริหารเช่น คุณปรีชา แก่นพรม – Country Director, Superbrand Thailand, Mr. Mike English – Managing Director, Superbrands Organisation, คุณชาญ ศรีวิกรม์ – Chairman of Council Members, Superbrands Thailand พร้อมด้วยตัวแทนจากแบรนด์ต่างๆ

นำโดย คุณชฎาทิพ จูตระกูล – CEO  สยามพิวรรธน์กรุ๊ป,  ร่วมด้วย   นายสุกิจ หวั่งหลี   ประธานกรรมการ
บริษัทพูลผลจำกัด, คุณสาระ ล่ำซำ – President และ CEO จาก เมืองไทยประกันชีวิต,  พ.ญ.นลินี ไพบูลย์  ประธานกรรมการจาก Giffarine, คุณวิชา พูลวรลักษณ์ – CEO จากMajor Cineplex, คุณมารุต บูรณะเศรษฐกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน), คุณไพโรจน์ ชื่นครุฑ – ประธานเจ้าหน้าที่ด้านธุรกิจ
สินเชื่อยานยนต์ กลุ่มงานธุรกิจยานยนต์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา และ  ผู้บริหารจากทุกแบรนด์ที่ได้รับรางวัล

Superbrands 2016 @ Life Style Hall, ชั้น 2, Siam Paragon พิธีมอบรางวัลสุดยอดแบรนด์ประจําปี  2016 ให้กับ 27  แบรนด์ชั้นนําของประเทศไทย ซึ่งประกอบไปด้วยผลิตภัณฑ์ Brand of the Year 2016

AIS,  Blackmores,  Central Food Hall,  Giffarine,  Hi-Kool,  King Power,  Kratingdaeng,
Krungsri Auto, Lamina Films, LG, Major Cineplex, Mali, Mansome, MK Restaurants,
Morakot, Muang Thai Life Assurance, Oishi, Orchid, SB Furniture, Siam Paragon, Sponsor,
Thai Life Insurance, Tiparos, Tonson, Watsons, Yamaha  และ 12plus

ข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ: Superbrands 2016
คุณแชมเปญ เทียนแขวะ โทร:  02-660-1567, 088-956-5556
Email: champagne@superbrandsmena.com
Superbrands 2016 @ Life Style Hall, ชั้น 2, Siam Paragon

 

 

 

 

ฮันยองง DRUMCAT SHOW โชว์ระดับเวิลด์คลาสโด่งดังทั่วโลก

สุดยอดโชว์ที่โด่งดังที่สุดระดับโลก ลีลาการโชว์ของ 6 สาวสวยแดนกิมจิ

ฮันยองงงง... มาถึงเมืองไทยแล้ว  สำหรับสาวสวยแดนกิมจิ 6  คน แห่ง  Drumcat  ตื่นเต้นสุดๆ ครั้งแรกที่ toptotravel  ได้มีโอกาสชมโชว์กลองจากศิลปิน Drumcat Show จากเกาหลี ที่ สตูดิโอ 9 ชั้น1 ศูนย์การค้า SHOW DC กรุงเทพฯ

มาทำความรู้จักกับ DRUMCAT SHOW  ศิลปะการแสดงแบบดั้งเดิม เข้ากับความเร้าใจ  ของจังหวะดนตรีร่วมสมัยของเสียงกลอง  เพิ่มดีกรีความร้อนแรง  ด้วยหนึ่งไวโอลินสุดบีบหัวใจ ใครไปเกาหลีบอกชื่อนี้รู้เลยเค้าคือ วงเพอร์คัสชั่นหญิงที่โดดเด่นที่สุดในโลก กับสุดยอดโชว์ที่โด่งดัง ได้มาอยู่ที่เมืองไทยแล้ว

DRUMCAT SHOW  ที่เป็นการรวมตัว ไฮไลท์ของงาน  DRUMCAT SHOW  สาวสวยจากแดนโสม ที่โด่งดัง
ไปทั่วโลกเสน่ห์ของการแสดงชุดนี้อยู่ที่หน้าสวยหวาน สไตล์เกาหลี เมคอัพอัดแน่น จังหวะการสะบัดข้อมืออันทรงพลัง รัว ร้อน แรง สาวสวยแดนกิมจิแต่ละคนมีคาแรคเตอร์ต่างกันไป ทั้งแข็งแกร่ง ทรงพลัง ซุกซน ตลก
ขี้เล่น และมีบางจังหวะที่หันมาเล่นกับคนดู ประทับใจระหว่างการแสดงพูดไทยได้ดีมาก และยังไม่รวมจังหวะที่กลองกับไวโอลินหันมาแบทเทิลระหว่างกันและกัน  เป็นการแสดงในกลุ่ม Non Verbal โชว์แล้วทำให้ผู้ชมได้ขยับสายตาตามตลอดเวลา ยิ่งเวลาที่โชว์กลองรัว  ตะลึงมาก เมื่อดูสาวหุ่นดีรัวข้อมือ โยกขา ย้ายสะโพกแบบพลิ้วไร้คำบรรยาย เป็นโชว์ที่สะกดคนดูโชว์ระดับเวิลด์คลาส อันโด่งดังทั่วโลก สมคำร่ำลือจริงๆ


SHOW DC ส่งตรงจากเกาหลี  มากำนัลแด่ผู้ร่วมงานโดยเฉพาะ กับ 6 สาวสวย  แดนกิมจิ OH YOUHYEON
(โอ ยูยอน) SEON SOLE (ซอน โซลอี) KIM JIYOUNG  (คิม จียอง)   LEE HARIM  (ลี ฮาริม) LEE SEULGI
(ลี ซึลกิ) และ LEE ME JOUNG (ลี มีจอง) ที่มาโชว์ลีลาการสะบัดกลอง ผสานด้วยเอกลักษณ์ศิลปะการแสดงแบบดั้งเดิมของเกาหลี ถ่ายทอดออกมาเป็นโชว์ที่สนุกเร้าใจ ผสานกับแสง สี เสียงที่อลังการและจัดเต็มแบบเอนเตอร์เทนผู้ชมตั้งแต่เริ่มต้น จนจบโชว์อย่างสนุกสนาน เป็นโชว์ที่ผสมผสาน ระหว่างงานศิลปะ ดนตรี  การเต้น แสงสี และความตลกฮาได้อย่างสมบูรณ์แบบ เรียกได้ว่ายอดเยี่ยมเหนือคำบรรยาย  ก่อนปิดท้ายด้วยมินิคอนเสิร์ตของหนุ่มๆ สุดฮอตแห่งยุค Sous The Series ได้แก่ คริส, สิงโต, แอมป์ และกัน-อชิ ที่เรียกเสียงกรี๊ดแบบกระหึ่ม Show DC จากเหล่าแฟนคลับนับพันที่มาเฝ้ารอตั้งแต่เช้าจนค่ำได้อย่างถล่มทลาย

แม้จะเป็นการแสดงครั้งแรกก็รู้สึกตื่นเต้น คนไทยใจดี เธออยากให้คนไทยได้เห็นการแสดงของ Drumcat
ที่สะท้อนความสวยงามของผู้หญิง แต่ยังสามารถแสดงออกซึ่งความแข็งแกร่งด้วยการตีกลองได้ไม่แพ้ผู้ชาย

เสร็จสิ้นไปเรียบร้อยแล้ว  สำหรับโชว์อลังการงานสร้างของ SHOW DC  ศูนย์การค้าและเอ็นเตอร์เทนเม้นต์สุดหรูครบวงจรแห่งแรกของไทย บน ถนนพระราม 9 กับ งาน K-Celeb SHOW Time @SHOW DC  ที่ส่งมอบประสบการณ์ความบันเทิงมาให้ลูกค้าโชว์ดีซีแบบสุดเอ็กซ์คลูซีฟ กับ  DRUMCAT SHOW ได้รับความนิยมสูงสุดไปทั่วโลกที่ถูกบรรจุลงในตารางทัวร์ระดับชาติของเกาหลี ด้วยลีลาการสะบัดกลองจาก 6 สาวสวยจาก
แดนกิมจิ  เรียกเสียงฮือฮาในความสวย และความสามารถ ร่วมด้วยกิจกรรมการโชว์ฝีมือการทำอาหารสไตล์เกาหลีของ 4  หนุ่มสุดฮอตจาก  Sotus The Series  กัน-สมาย, นิว, อ๊อฟ และ กัน-อรรถพันธ์
ในกิจกรรม “COOKING WITH SOTUS BROUGHT TO YOU BY KIMCHI BUS”

พร้อมแนะนำร้านอาหารของเหล่าเซเลบริตี้แดนกิมจิที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย ซึ่งตั้งอยู่ชั้น 1 ภายในโซน K-Celebrity Street Food at SHOW DC อาทิ ร้านราเมงสไตล์เกาหลี ‘PSY-MIEN’ ของศิลปิน ไซ กังนัมสไตล์, ร้าน AFTER THE RAIN ของหนุ่ม เรน, ร้าน BY GRACE ของดาราสาวยูอึนเฮ (นางเอกซีรีส์สุดฮิตเรื่อง Coffee Prince) ฯลฯ ก่อนปิดท้ายด้วยมินิคอนเสิร์ตสุดมันส์จากหนุ่มๆ Sotus The Series ได้แก่ คริส, สิงโต, แอมป์, กัน-อชิ  ที่เรียกเสียงกรี๊ด จากแฟนคลับได้อย่างถล่มทลาย

สำหรับบรรยากาศภายในงานเริ่มต้นด้วยกิจกรรม K-Idol Look-Alike Contest การประกวดแต่งตัวตามศิลปินเกาหลีที่ชื่นชอบซึ่งมีน้องๆ วัยรุ่นเข้าร่วมการประกวดเป็นจำนวนมาก เมื่อถึงเวลา 4  หนุ่มสุดฮอต  จาก Sotus The Series กัน-สมาย, นิว, อ๊อฟ และ กัน-อรรถพันธ์ ก็ได้มาโชว์ฝีมือการทำอาหารสไตล์เกาหลี ซึ่งเป็นกิจกรรมที่สนุกและเรียกกรี๊ดจากแฟนคลับสาวๆได้ตลอดทั้งงาน โดยมีแฟนคลับผู้โชคดีที่ได้ชิมฝีมือการทำอาหารของ 4 หนุ่มอย่างใกล้ชิดอีกด้วย

SHOW DC ยังฝากข่าวจัดกิจกรรมดีๆ อย่างการประกวด K-Pop Cover Dance Championship การแข่งขันเต้น Cover Dance เพลงของศิลปินเกาหลีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ล่าสุดมีวัยรุ่นที่รักการเต้นเพลงสไตล์ K-Pop มาสมัครเข้าร่วมการแข่งขันแล้วกว่า 100 ทีม โดยจะมีการแข่งขันทั้งหมด 6 สัปดาห์ เพื่อคัดเลือก 20 ทีมสุดท้ายเข้าร่วมการแข่งขันในรอบชิงชนะเลิศ ชิงเงินรางวัลรวมกว่า 5 แสนบาท

โดยจะมีการเปิดรับสมัครผู้เข้าร่วมการแข่งขันในวันที่ 22-23 มกราคม และ 28-29 มกราคม 2560
เวลา 10.00-22.00 น. ณ บริเวณชั้น 3 ศูนย์การค้าโชว์ ดีซี
ผู้ที่สนใจสามารถติดตามรายละเอียดการแข่งขันได้ที่  www.showdc.co.th